คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3289/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามสัญญาประกันภัย ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันที่ชนรถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้ใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยของโจทก์ไปแล้วนั้น เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนอันเป็นมูลหนี้ตามสัญญาประกันภัย มีอายุความ 2 ปี นับแต่วันเกิดวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคแรกจะนำเอาอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 วรรคแรกมาบังคับใช้ไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า รถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยค้ำจุนไว้เป็นฝ่ายทำละเมิด แม้ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหายเพราะเห็นว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เมื่อโจทก์จำเลยได้สืบพยานจนสิ้นกระแสความแล้ว ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยเองได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน2 ค-3122 กรุงเทพมหานคร จำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1 ท-3471 กรุงเทพมหานคร ในประเภทประกันภัยค้ำจุนเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2528 นายพะเนียง พุดสาย ได้ขับรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้ไปตามถนนเพชรบุรีตัดใหม่จากด้านแยกคลองตันโฉมหน้าไปทางด้านแยกเอกมัยด้วยความประมาทได้เบรกหยุดกระทันหันแต่รถหาได้หยุดไม่ กลับแล่นแฉลบเข้าไปเฉี่ยวชนกับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายต้องซ่อม หลังจากเกิดเหตุแล้วนายพะเนียงได้ยินยอมรับผิดและจำเลยได้ออกหลักฐานยอมรับผิดตกลงจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายโจทก์ โจทก์ได้ชำระค่าซ่อมแล้วเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2528 เป็นเงิน 25,950 บาท โจทก์จึงรับช่วงสิทธิเรียกร้องและทวงถามให้จำเลยชำระค่าเสียหายหลายครั้งจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 26,649 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 25,950 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่นิติบุคคลตามกฎหมาย เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เป็นเอกสารปลอม โจทก์มิได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2 ค-3122 กรุงเทพมหานคร จำเลยมิได้เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1 ท-3471 กรุงเทพมหานคร และเหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2 ค-3122กรุงเทพมหานคร จำเลยไม่เคยตกลงชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ สำหรับค่าเสียหายของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2 ค-3122 กรุงเทพมหานคร ก็มีเพียงเล็กน้อยไม่เกิน 9,000 บาท ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 25,649บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 25,950 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นเรื่องคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1ท-3471 กรุงเทพมหานคร คันเกิดเหตุ ความรับผิดของจำเลยเกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัย การที่โจทก์ฟ้องคดีเพื่อให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้ใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยของโจทก์ไปแล้วนั้น ไม่ใช่ฟ้องคดีในมูลหนี้ละเมิด แต่โจทก์ฟ้องโดยอาศัยมูลหนี้ตามสัญญาประกันภัยเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นผู้รับช่วงสิทธิตามสัญญาประกันภัย จึงมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันเกิดวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคแรกจะนำอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 วรรคแรกมาบังคับไม่ได้ หากจะนำมาตรา 448 วรรคแรก มาใช้บังคับดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจะต้องเป็นกรณีที่โจทก์ได้ฟ้องสหกรณ์รวมมิตรแท็กซี่ จำกัดผู้เอาประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1ท-3471 กรุงเทพมหานครให้รับผิดด้วย และผู้เอาประกันภัยได้ยกอายุความเรื่องละเมิดเป็นข้อต่อสู้ หากกรณีฟังได้ว่า ฟ้องโจทก์สำหรับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุขาดอายุความเรื่องละเมิด ผู้รับประกันภัยก็ย่อมไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด สำหรับปัญหาเรื่องค่าเสียหายนี้ยังมิได้รับการวินิจฉัยจากศาลอุทธรณ์เพราะเห็นว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จำเลยไม่ต้องรับผิดแม้ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของจำเลยเมื่อโจทก์จำเลยได้สืบพยานมาจนสิ้นกระแสความแล้ว ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวไปได้เองโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดก่อน ในปัญหาข้อนี้ ข้อเท็จจริงเชื่อว่าเหตุเกิดนี้ทำให้รถยนต์ที่โจทก์รับประกันไว้ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงินรวม 25,950 บาท โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้จ่ายเงินค่าซ่อมจำนวนดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม2528 โจทก์จึงรับช่วงสิทธิให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2528ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ชำระเป็นต้นไป
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 25,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 21กรกฎาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกินจำนวน 699 บาท ตามคำขอของโจทก์

Share