คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3285/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินปลอม โดยปลอมทั้งลายมือชื่อผู้ออกตั๋วและปลอมตราประทับ ซึ่ง ไม่ใช่ตราของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1008 ตามคำฟ้อง คำให้การ มิได้กล่าวอ้างถึงข้อต่อสู้ตามข้อยกเว้นตอนท้าย ของ มาตรา 1008 ที่ว่า เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึง ถูกยึดหน่วง หรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็น ผู้ต้องตัดบทมิ ให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือชื่อ ปราศจากอำนาจ นั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้เลย คดีจึงไม่มี ประเด็นที่ศาล จะวินิจฉัยไปถึงว่า เมื่อฟังว่าลายมือ ในตั๋วปลอมแล้ว จำเลยจะต้องรับผิดเพราะเหตุที่อยู่ ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบท มิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมนั้น เป็นข้อต่อสู้อีก เพราะเป็น การวินิจฉัยนอกประเด็นพิพาท

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 1,727,471.71 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 5 ชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 153,606.25 บาท พร้อมกับดอกเบี้ย โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดชดใช้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ออกผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ มิได้ฟ้องให้รับผิดตามสัญญายืม เพราะไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกันไว้คดีจึงบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 21 ว่าด้วยตั๋วเงิน โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องรับผิดชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.15 ให้แก่โจทก์ตามฟ้องและตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ ในประเด็นนี้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้การต่อสู้ว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินตามสัญญาเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.15 เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินปลอม เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ออกให้ ตราที่ใช้ประทับในตั๋วไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 ลายเซ็นในตั๋วก็ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการ มีบุคคลอื่นปลอมแปลงขึ้น ปัญหาข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยจึงมีว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเป็นตั๋วสัญญาปลอมหรือไม่ นายปริญญา เพ็งเจริญ พยานโจทก์เบิกความว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ปฏิเสธว่าตั๋วสัญญาใช้เงินปลอม โจทก์จึงได้ส่งตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.15 ไปให้กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ตรวจพิสูจน์ ผลการตรวจได้ความว่าน่าจะไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์จึงดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 5 นอกจากนี้ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.2 ว่า จำเลยที่ 5 ถูกพนักงานอัยการกรมอัยการเป็นโจทก์ฟ้องต่อศาลอาญา ในข้อหาว่าปลอมตั๋วเงินและฉ้อโกงทรัพย์รายนี้ คดียังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอาญา พันตำรวจโทศรีวิทย์ เจียมเจริญ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ผู้ตรวจพิสูจน์ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว ซึ่งเป็นพยานจำเลยเบิกความว่า ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่า ลายมือชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และตราประทับก็ไม่ใช่ตราของจำเลยที่ 1 ลายเซ็นชื่อของจำเลยที่ 2 ในตั๋วปรากฏว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 5 เป็นผู้เขียนซึ่งปรากฏตามเอกสารหมาย ล.37, ล.72 และโจทก์ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.15 เป็นตั๋วปลอม จึงได้แจ้งให้พนักงานสอบสวนคดีแก่จำเลยที่ 5 จนถูกฟ้องต่อศาล ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 5 ก็ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.15 ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินปลอม โดยปลอมทั้งลายมือชื่อผู้ออกตั๋วและปลอมตราประทับซึ่งไม่ใช่ตราของจำเลยที่ 1 ใช้รูปคดีจึงปรับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1008 ซึ่งบัญญัติว่า เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วใช้เงินเป็นลายมือชื่อปลอมก็ดี ก็เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอำนาจให้ลงก็ดีท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอำนาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลยใครจะอ้างอิงแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทำได้เป็นอันขาด ฉะนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.15 ส่วนข้อยกเว้นตอนท้ายของมาตรา 1008 ที่ว่า เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือซึ่งปราศจากอำนาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาให้นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องก็ดี คำให้การก็ดี มิได้กล่าวอ้างถึงข้อต่อสู้ตามข้อยกเว้นดังกล่าวไว้เลย คดีจึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยไปถึงว่าเมื่อฟังว่าลายมือในตั๋วปลอมแล้ว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จะต้องรับผิดเพราะเหตุที่อยู่ในฐานะเป็นต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้อีก เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นพิพาท ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1634/2492 ระหว่าง นายปกเกล้า ศิริลักษณ์ โจทก์ บริษัทธนาคารมณฑล จำกัด กับพวก จำเลย ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 5,000 บาท

Share