แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์อ้างว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. และห้างหุ้นส่วนจำกัด บ. ได้โอนสิทธิเรียกร้องเงินค่าปอที่ห้างทั้งสองขายปอให้จำเลยให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้ และการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวสมบูรณ์แล้วเพราะโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งการโอนไปยังจำเลย แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากโจทก์มีหนังสือแจ้งดังกล่าวแล้วโจทก์ก็ยังปฏิบัติเป็นการรับรู้และรับรองสิทธิในการรับเงินค่าปอของห้างทั้งสองที่มีต่อจำเลยโดยมิได้มีการโต้แย้ง ทั้งยังมิได้ตั้งเอาไว้ในบัญชีของโจทก์ว่า จำเลยเป็นลูกหนี้ของโจทก์ ยังถือว่าห้างทั้งสองเป็นลูกหนี้ของโจทก์อยู่อย่างเดิม มูลหนี้เดิมมีอยู่เท่าใดก็มิได้ลดลงไปตามจำนวนสิทธิที่อ้างว่าได้รับโอนมา ประกอบกับโจทก์มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นเจตนาอันแท้จริงของโจทก์ว่าโจทก์อาศัยอำนาจความเป็นเจ้าหนี้ของห้างทั้งสองติดตามรับเงินเพื่อเป็นการชำระหนี้ของโจทก์เท่านั้น กรณีจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้เงินกู้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญธัญญวัฒน์อยู่ ๒,๘๑๘,๐๐๐ บาท และเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงไทยกสิกรรมอยู่ ๓,๖๗๘,๐๐๐ บาท ลูกหนี้ทั้งสองของโจทก์เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิรับเงินค่าปอจากโรงงานกระสอบกระทรวงการคลัง ของจำเลยเป็นเงิน ๒,๘๑๘,๕๘๔.๒๑ บาท และ ๓,๒๕๒,๐๕๖.๑๐ บาท ตามลำดับ ต่อมาห้างทั้งสองได้โอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ค่าปอดังกล่าวให้โจทก์ และโจทก์ได้บอกกล่าวการโอนไปยังโรงงานกระสอบ กระทรวงการคลัง ผู้เป็นลูกหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นแล้ว การโอนสิทธิเรียกร้องจึงเป็นการสมบูรณ์ จำเลยมีหน้าที่ชำระเงินค่าปอให้โจทก์แต่ไม่ชำระ ขอให้จำเลยชำระเงินต้นตามสิทธิเรียกร้องที่รับโอนมา พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๒๑ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยค้างชำระงวดสุดท้ายจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยได้จ่ายเงินค่าปอให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญธัญญวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงไทยกสิกรรมไปครบถ้วนแล้ว และห้างทั้งสองมิได้โอนสิทธิเรียกร้องรับเงินค่าปอให้กับโจทก์เป็นเพียงมอบหมายให้โจทก์รับเงินค่าปอแทนเท่านั้น ห้างทั้งสองยังมิได้สลักหลังใบตรวจรับปอมอบให้โจทก์ จึงไม่ถือเป็นการโอนสิทธิเรียกร้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน ๔,๘๙๒,๗๑๑.๒๓ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้นดังกล่าว นับแต่วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๒๑ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำเบิกความของพลตำรวจตรีสำราญได้ความตรงกับคำเบิกความของนายสุรินทร์และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของนายธาตรีในข้อที่ว่าหลังจากทำหนังสือโอนสิทธิการรับเงินตามเอกสารหมาย จ.๑๐ ถึง จ.๒๘ แล้ว การรับเงินค่าปอคงมีเจ้าหน้าที่ของโจทก์รับฝ่ายเดียว ทางห้างทั้งสองผู้ขายปอไปรับฝ่ายเดียวและทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งของโจทก์และห้างทั้งสองไปรับร่วมกัน จากข้อเท็จจริงตามที่กล่าวข้างต้นหลังจากมีการทำเอกสารหมาย จ.๑๐ ถึง จ.๒๘ แล้ว โจทก์ก็ยังปฏิบัติเป็นการรับรู้และรับรองสิทธิในการรับเงินค่าปอของห้างทั้งสองที่มีต่อจำเลยโดยมิได้มีการโต้แย้ง ทั้งยังมิได้ตั้งเอาไว้ในบัญชีของโจทก์ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ของโจทก์ ยังถือว่าห้างทั้งสองเป็นลูกหนี้ของโจทก์อยู่อย่างเดิม มูลหนี้เดิมมีอยู่เท่าใดก็มิได้ลดลงไปตามจำนวนสิทธิที่อ้างว่าได้รับโอนมา ข้อปฏิบัติระหว่างโจทก์จำเลยและห้างทั้งสองดังกล่าวตามข้อเท็จจริงข้างต้น ประกอบกับคำชี้แจงของนางเพ็ญศรี เฉลิมพานิช หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดขอนแก่นชัยพูลผล ที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.๑ หน้า ๘-๙ ว่า “การโอนสิทธิเรียกร้องรับเงินโรงงานกระสอบฯ บริษัททรัสต์ (หมายถึงโจทก์) จะให้ทำสัญญากู้ยืมเงินพร้อมสั่งจ่ายเช็คค้ำประกันและให้ทำหนังสือโอนสิทธิเงินค่าปอตามใบตรวจรับปออีกส่วนหนึ่งด้วย ต่อจากนั้นบริษัททรัสต์จะให้ข้าพเจ้าถือใบโอนสิทธิเรียกร้องและใบตรวจรับปอพร้อมเอกสารอื่นของบริษัทไปขอรับเงินจากโรงงานฯ แต่มีบางครั้งที่เจ้าหน้าที่ของบริษัทจะไปเอง เมื่อได้รับเงินจากโรงงานฯ แล้วก็จะนำไปให้บริษัททรัสต์เพื่อหักทอนบัญชีกันต่อไป”และตามเอกสารหมาย จ.๑ แผ่นที่ ๕๖ และ ๕๘ ถึง ๖๒ นั้น โจทก์ก็ออกใบเสร็จรับเงินให้กับห้างหุ้นส่วนจำกัดขอนแก่นชัยพูลผลซึ่งตามข้อนำสืบของโจทก์จำเลยได้ความว่า โจทก์ปฏิบัติอย่างเดียวกับห้างทั้งสองดังกล่าว และข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพลตำรวจตรีสำราญในคดีแดงที่ ๑๗๘๘/๒๕๒๖ ของศาลแรงงานกลางที่ว่า โจทก์ได้ฟ้องห้างทั้งสองให้ชำระหนี้เพราะถือว่าห้างทั้งสองเป็นลูกหนี้ของโจทก์ ขณะนั้นโจทก์ยังไม่ถือว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ของโจทก์และโจทก์ได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายสุรินทร์หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ซึ่งเป็นเช็คที่ห้างทั้งสองออกให้ชำระหนี้เงินกู้ และเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเงินค่าปอตามเอกสารหมาย จ.๑ แผ่นที่ ๑๗๗ ถึง ๑๘๒ และ ๑๘๔ ถึง ๑๘๗ ก็มีทั้งที่ระบุชื่อโจทก์ระบุชื่อห้างทั้งสองและระบุชื่อโจทก์ร่วมกับห้างทั้งสองห้างใดห้างหนึ่ง จึงเป็นการแสดงให้เห็นเจตนาอันแท้จริงของโจทก์ว่า โจทก์อาศัยอำนาจความเป็นเจ้าหนี้ของห้างทั้งสองติดตามรับเงินเพื่อเป็นการชำระหนี้ของโจทก์เท่านั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้ และไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่โจทก์จำเลยฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์