คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3282/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่ดินซึ่งโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดไว้นั้น เป็นที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามโอนสิทธิภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีเมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ถอนการยึด กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะกำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 6225 ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 และนางบุญช่วยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์
นางบุญช่วยยื่นคำร้องว่า ที่ดินตามโฉนดดังกล่าวมีข้อกำหนดห้ามโอนตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2517 ขณะนี้ยังไม่พ้นกำหนดเวลาห้ามโอน ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการยึดทรัพย์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้โจทก์ถอนการยึดทรัพย์
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่โจทก์ถอนการยึดทรัพย์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอทุเลาการบังคับว่าให้ยกคำร้องของโจทก์เสีย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า กรณีมีเหตุสมควรกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ตามที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ที่ดินที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดไว้นั้นเป็นที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 ซึ่งตามความในมาตรา 44 วรรคหนึ่งมีข้อกำหนดห้ามโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน อีกทั้งตามความในวรรคท้ายของบทมาตราเดียวกันยังบัญญัติไว้ชัดเจนว่า “ภายในกำหนดเวลาตามความในวรรคหนึ่งที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี” ดังนี้ ขณะที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพิพาทนั้นที่ดินดังกล่าวยังตกอยู่ภายใต้ข้อกำหนดห้ามโอน กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์คำสั่งศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share