คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3078/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ข้อ 5 กำหนดให้กรมตำรวจมีฐานเป็นนิติบุคคล แต่การแบ่งส่วนราชการในกรมตำรวจออกเป็นกองตามข้อ 31 มิได้กำหนดให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล กองตรวจคนเข้าเมืองจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลได้แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้ แต่เป็นกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
หนังสือของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้ามืองที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนเป็นหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องของโจทก์ ซึ่งโจทก์ขอเป็นคนเข้าเมืองเพื่อมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยได้ โดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแจ้งว่า ได้นำเรื่องเสนอกรมตำรวจพิจารณาแล้ว มีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เป็นคนเข้าเมืองตามคำร้องขอและแจ้งไปด้วยว่าให้โจทก์รีบเดินทางกลับออกไปนอกราชอาณาจักรโดยด่วน ดังนี้ เท่ากับเป็นการเตือนให้โจทก์ทราบในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ถือหนังสือเดินทางของประเทศอื่น และได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว ยังถือไม่ได้ว่าเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ เพราะโจทก์ยังมิได้อ้างต่อเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองเลยว่าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีสิทธิจะอยู่ในราชอาณาจักรได้ในฐานะที่เป็นคนไทย พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 มาตรา 43 ซึ่งใช้อยู่ในขณะโจทก์เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เปิดโอกาสให้โจทก์ยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่หรือร้องขอต่อศาล แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงยังถือไม่ได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่หรือกรมตำรวจ จำเลยที่ 1 โต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของโจทก์ และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ก็จะถือว่ามีลักษณะเป็นการร้องขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลไม่ได้ จึงไม่อาจวินิจฉัยเรื่องสัญชาติของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสัญชาติไทยโดยเป็นบุตรนายตงบุ่นนางผู่ตี้ หรือ นางยวดกุ๋ย เกิดในราชอาณาจักรไทย แต่มารดาโจทก์ได้พาโจทก์ไปสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๑ โจทก์จำต้องอยู่ประเทศจีนตลอดมา เนื่องจากถูกห้ามออกนอกประเทศ จนกระทั่งวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๑๙ โจทก์จึงได้เดินทางเข้าประเทศไทย โดยใช้หนังสือเดินทางในชื่อว่า “ลิน เจาฟู” เกิดในประเทศจีน เหตุที่ระบุที่เกิดผิดจากความจริงก็เพื่อสะดวกในการทำหนังสือเดินทางเมื่อโจทก์เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้วได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองจำเลยที่ ๒ ซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของกรมตำรวจจำเลยที่ ๑ เพื่อขออยู่หาหลักฐานการเกิดในประเทศไทย ต่อมาโจทก์หาหลักฐานการเกิดในประเทศไทยได้จึงได้เสนอใบรับรองการเกิดในประเทศไทยต่อกองตรวจคนเข้าเมืองเพื่ออยู่ในประเทศไทยในฐานะผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด เจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองได้มีหนังสือที่ ๘๒/๒๕๒๐ แจ้งให้โจทก์ทราบว่ากรมตำรวจพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์มีสิทธิอยู่ในประเทศไทยตามคำร้องขอ และให้โจทก์รีบเดินทางกลับออกไปนอกราชอาณาจักรไทยโดยด่วนภายในวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๒๐ โจทก์เห็นว่าโจทก์เป็นคนไทยตามกฎหมายย่อมมีสิทธิอยู่ในประเทศไทยได้ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองตามหนังสือที่ ๘๒/๒๕๒๐ และพิพากษาว่าโจทก์มีสัญชาติไทยตามกำหมาย
จำเลยทั้งสองให้การร่วมกันว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าว เชื้อชาติจีน สัญชาติจีน เกิดที่มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ถือหนังสือเดินทางสาธารณรัฐประชาชนได้โดยสารเครื่องบินจากฮ่องกงเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๑๙ ในประเภทคนอยู่ชั่วคราว ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองได้อนุญาตโจทก์จะไม่ยอมออกไปจากประเทศไทยจึงได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ โจทก์ไม่เคยยื่นคำร้องขอพิสูจน์สัญชาติต่อเจ้าพนักงานหรือต่อศาล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์เกิดในประเทศไทย จึงได้สัญชาติไทยตามกฎหมาย จำเลยออกคำสั่งให้โจทก์เดินทางออกไปนอกประเทศไทยเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองตามหนังสือที่ ๘๒/๒๕๒๐ ลงเดือนมกราคม ๒๕๒๐ นั้นเสีย และพิพากษาว่าโจทก์มีสัญชาติไทยตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่า พยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสัญชาติไทย ควรพิพากษายกฟ้อง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องกรมตำรวจเป็นจำเลยที่ ๑ และกองตรวจเข้าเมืองเป็นจำเลยที่ ๒ สำหรับกรมตำรวจซึ่งเป็นส่วนราชการในระดับกรมประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ข้อ ๕ วรรคท้าย กำหนดให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่การแบ่งส่วนราชการในกรมออกเป็นกองตามข้อ ๓๑ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวมิได้กำหนดให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล เมื่อจำเลยที่ ๒ ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จึงไม่อาจที่จะถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลได้ แม้จำเลยที่ ๒ จะมิได้ยกปัญหาเรื่องนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนและศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยตามนัยที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๒ (๕) โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๒ ไม่ได้
ส่วนฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ นั้น ได้พิเคราะห์หนังสือของเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองที่ ๘๒/๒๕๒๐ ลงเดือนมกราคม ๒๕๒๐ ตามเอกสารหมาย จ.๓ ที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนแล้ว ปรากฏว่าเป็นหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๑๙ ซึ่งโจทก์ขอเป็นคนเข้าเมืองเพื่อมีถิ่นทีอยู่ในประเทศไทยไว้ (ตามเอกสารหมาย ล.๓) โดยเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองแจ้งว่า ได้นำเรื่องเสนอกรมตำรวจพิจารณาแล้ว มีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เป็นคนเข้าเมืองตามคำร้องขอ และได้แจ้งไปด้วยว่าให้โจทก์รีบเดินทางกลับออกไปนอกราชอาณาจักรโดยด่วน ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือของเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองฉบับดังกล่าวเป็นการแจ้งผลการพิจารณาของกรมตำรวจให้โจทก์ทราบว่า กรมตำรวจไม่อนุญาตให้โจทก์เป็นคนเข้าเมืองตามที่โจทก์ร้องขอไป กับได้แจ้งให้โจทก์เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรตามกำหนด ซึ่งเท่ากับเป็นการเตือนให้โจทก์ทราบในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ถือหนังสือเดินทางของประเทศอื่นและได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว ยังถือไม่ได้ว่าเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ เพราะโจทก์ยังมิได้อ้างต่อเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองเลยว่าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีสิทธิจะอยู่ในราชอาณาจักรได้ในฐานะที่เป็นคนไทย โจทก์เพียงแต่ขอเป็นคนเข้าเมืองเพื่อมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยโดยเหตุผลว่าโจทก์เป็นผู้ช่วยผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดสระบุรีพรพัฒนาและเป็นผู้ควบคุมฝ่ายซ่อมเครื่องยนต์รถแทรกเตอร์เท่านั้น
อนึ่ง ตามมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองฉบับ ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่โจทก์เดินทางเข้ามาในประเทศไทยก็ได้เปิดโอกาสให้โจทก์ยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือร้องขอต่อศาล แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงยังถือไม่ได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่หรือจำเลยที่ ๑ ได้โต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของโจทก์และการที่โจทก์มาฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดีนี้ ก็จะถือว่ามีลักษณะเป็นการร้องขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยเรื่องสัญชาติของโจทก์ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share