แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวตามฟ้องจากจำเลยมีกำหนดเวลาการเช่า 1 ปี 6 เดือน โจทก์ได้วางเงินประกันไว้แก่จำเลย ต่อมาโจทก์ได้ส่งมอบตึกแถวคืนจำเลยในสภาพเรียบร้อย โจทก์ขอบอกเลิกสัญญาเช่าก่อนครบกำหนดเวลาเช่าและจำเลยยินยอมให้โจทก์เลิกสัญญาได้ จึงเป็นการที่ต่างฝ่ายต่างสมัครใจตกลงเลิกสัญญาต่อกัน แต่โจทก์จำเลยมีข้อตกลงในการเลิกสัญญาเช่าว่าโจทก์ยอมให้จำเลยริบเงินประกันได้ จำเลยจึงมีสิทธิริบเอาเงินประกันดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถว รวม 4 คูหา กับจำเลยมีกำหนด 1 ปี 6 เดือน อัตราค่าเช่าเดือนละ 60,000 บาท โจทก์ได้วางเงินประกันตามสัญญาแก่จำเลยจำนวน 180,000 บาทต่อมาวันที่ 28 พฤศจิกายน 2539 โจทก์และจำเลยตกลงเลิกสัญญาต่อกัน โจทก์ส่งมอบตึกแถวที่เช่าคืนแก่จำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่คืนเงินประกันให้แก่โจทก์ จึงขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจนถึงวันฟ้องเป็นจำนวนเงิน 1,479 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 181,479 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 180,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าก่อนครบกำหนด ทำให้จำเลยขาดรายได้จากการที่ไม่สามารถจัดหาบุคคลอื่นมาเช่าได้ทัน นับแต่โจทก์บอกเลิกสัญญาจนถึงวันยื่นคำให้การเป็นเงินทั้งสิ้น 180,000 บาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิรับเงินประกันคืนขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28พฤศจิกายน 2539 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินประกันแก่โจทก์จำนวน 90,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 25กรกฎาคม 2539 โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวตามฟ้องจากจำเลยมีกำหนดเวลาการเช่า 1 ปี 6 เดือน นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2539เป็นต้นไปนั้น อัตราค่าเช่าเดือนละ 60,000 บาท โจทก์ได้วางเงินประกันไว้แก่จำเลยจำนวน 180,000 บาท และจำเลยจะไม่คืนเงินประกันนี้ให้ถ้าหากโจทก์ผิดสัญญาปรากฏตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1ข้อ 2 และข้อ 4 หลังจากนั้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2539ได้มีการเลิกสัญญาเช่าตึกแถวดังกล่าวพร้อมทั้งโจทก์ได้ส่งมอบตึกแถวคืนจำเลยในสภาพเรียบร้อยแล้ว ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2เฉพาะด้านหลัง เอกสารหมาย จ.3 และสำเนารายงานประจำวันเอกสารหมาย จ.4 และโจทก์ไม่ได้ค้างค่าเช่าแก่จำเลยด้วย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินประกันคืนจากจำเลยจำนวน 180,000 บาท หรือไม่ เห็นว่าโจทก์ขอบอกเลิกสัญญาเช่าก่อนครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาและจำเลยยินยอมให้โจทก์เลิกสัญญาได้จึงเป็นการที่ต่างฝ่ายต่างสมัครใจตกลงเลิกสัญญาต่อกัน เมื่อโจทก์ส่งมอบตึกแถวที่เช่าในสภาพเรียบร้อยและไม่ได้ค้างชำระค่าเช่าแก่จำเลยโจทก์จึงไม่ผิดสัญญา เงินประกันตามสัญญาเช่าจึงต้องคืนให้โจทก์เว้นแต่มีการตกลงในการเลิกสัญญาว่าให้จำเลยริบเงินประกันได้เมื่อมีการตกลงในการเลิกสัญญาเช่า ว่าเงินประกันต้องริบและโจทก์ยินยอมให้ริบได้ตามคำเบิกความของจำเลย เพราะมิฉะนั้นแล้วจำเลยคงไม่ยอมเลิกสัญญาเช่าโดยง่ายเช่นนี้ คำเบิกความของจำเลยจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า มีข้อตกลงในการเลิกสัญญาเช่าว่าให้ริบเงินประกันได้ จำเลยจึงมีสิทธิริบเอาเงินประกันดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงินประกันให้แก่โจทก์จำนวน 90,000 บาทมานั้น นับเป็นคุณแก่โจทก์มากแล้ว
พิพากษายืน