คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาว่า “จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงรับเป็นฎีกาและรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง สำเนาให้โจทก์” ตามฎีกาของจำเลยไม่ปรากฏว่ามีข้อใดที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ได้พิเคราะห์เห็นว่า ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอย่างไร อันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาได้ เป็นแต่บันทึกรับรองพ่วงท้ายคำสั่งรับฎีกามาลอยๆ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยชอบ ศาลฎีกาไม่รับพิจารณา
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 1/2520)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๔ ถึงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๑๔ วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันปลอมหนังสือสัญญากู้เงินอันเป็นเอกสารสิทธิที่โจทก์ทำให้จำเลยที่ ๑ เป็นหลักฐานว่าได้กู้เงินจำเลยที่ ๑ ไปจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๐๔ โดยจำเลยที่ ๑ ลงชื่อในช่องผู้ให้กู้ จำเลยที่ ๒, ๓ ลงขื่อในช่องพยาน และได้ร่วมเขียนสลักหลังหนังสือสัญญากู้เงินเป็นใจความว่า โจทก์ได้นำเงินต้นไปผ่อนชำระให้จำเลยที่ ๑ รวม ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๐๗ เป็นเงิน ๑,๒๐๐ บาท ครั้งที่สองเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๑๑ เป็นเงิน ๑,๕๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ลงชื่อในฐานะผู้รับเงินกำกับรายการที่สลักหลัง ทั้งนี้ โดยจำเลยทั้งสามมีเจตนาจะให้โจทก์หรือศาลหลงเชื่อว่าโจทก์ได้ผ่อนชำระหนี้ให้จำเลยที่ ๑ เป็นบางส่วน หนี้ตามสัญญากู้จึงไม่ขาดอายุความ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ต่อมาเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๑๕ เวลางกลางวันจำเลยที่ ๑ ได้บังอาจนำเอาหนังสือกู้ที่ทำปลอมขึ้นดังกล่าวมาใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีที่จำเลยที่ ๑ ฟ้องเรียกหนี้ตามสัญญากู้เป็นเงิน ๑๗,๓๐๐ บาทจากโจทก์ต่อศาลจังหวัดลพบุรี โดยมีเจตนาจะให้หลงเชื่อตามหลักฐานที่จำเลยนำใช้อ้างต่อศาลว่าหนี้ตามสัญญากู้ไม่ขาดอายุความฟ้องร้อง ครั้นเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๑๕ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑ ได้บังอาจนำข้อความอันเป็นเท็จ และเป็นข้อสำคัญในคดีเข้าเบิกความต่อศาลจังหวัดลพบุรีในการพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าวว่า โจทก์นำเงินมาผ่อนชำระให้จำเลยที่ ๑ ที่บ้านตามที่จำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๒ ได้สลักหลังไว้นั้น โดยเจตนาให้ศาลเชื่อตามคำเบิกความเท็จเมื่อพิจารณาพิพากษาบังคับโจทก์ให้ชำระหนี้ตามฟ้อง และเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๑๕ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๒, ๓ ได้บังอาจนำข้อความอันเป็นเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดีเข้าเบิกความต่อศาลจังหวัดลพบุรีในการพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าวด้วยว่า โจทก์นำเงินไปผ่อนชำระหนี้แก่จำเลยที่ ๑ รวม ๒ ครั้ง จำเลยที่ ๒ เป็นผู้สลักหลังการชำระหนี้ทั้งสองครั้งนั้น เพื่อให้ศาลหลงเชื่อและเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๘, ๑๗๗, ๘๓, ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๒ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่า การที่จำเลยที่ ๑ ลงชื่อในช่องผู้ให้กู้และจำเลยที่ ๒, ๓ ลงชื่อช่องพยานในสัญญากู้ที่โจทก์ทำให้จำเลยที่ ๑ ไว้ มิได้ทำให้สัญญากู้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ไม่เป็นการทำให้โจทก์เสียหาย ส่วนการที่จำเลยเขียนสลักหลังว่า โจทก์ผ่อนชำระหนี้เองโดยโจทก์มิได้ผ่อนชำระให้จริง ก็ไม่เป็นการแก้ไขข้อความในสัญญากู้ เพียงเพิ่มข้อความลงเพื่อให้สัญญากู้ที่นำมาฟ้องไม่ขาดอายุความเท่านั้น ทั้งสองกรณีไม่เป็นความผิดฐานปลอมหนังสือ แต่คำเบิกความของจำเลยทั้งสามเป็นการเบิกความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗, ๘๓ จำคุกคนละ ๓ เดือน คำฟ้องนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า ข้อความที่จำเลยสลักในสัญญากู้เป็นเท็จ และข้อความที่จำเลยทั้งสามเบิกความเป็นเท็จ และศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานเบิกความเท็จ จำคุกคนละ ๓ เดือน และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ จำเลยทั้งสามฎีกาอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งฉบับ ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนตรวจสั่งรับฎีกาว่า “จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงรับเป็นฎีกาและรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง สำเนาให้โจทก์” ปัญหาว่า บันทึกของศาลชั้นต้นที่ว่า “และรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง” เป็นการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า ตามฎีกาของจำเลยไม่ปรากฏว่ามีข้อใดที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ได้พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอย่างไรอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาได้พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอย่างไรอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาได้ เป็นแต่บันทึกรับรองพ่วงท้ายคำสั่งรับฎีกามาลอยๆ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตโดยชอบ ศาลฎีกาไม่รับพิจารณา คดีจึงมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยข้อ ๑ อ้างว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีฝ่าฝืนคำพยานหลักฐานในคดี ก็เป็นแต่กล่าวอ้างเพื่อให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แท้จริงเป็นการโต้เถียงข้อสันนิษฐานข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานพฤติเหตุแวดล้อมที่ได้นำสืบกันไว้ในคดีเชื่อว่าเป็นประการใด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้อ ๒ และ ๓ ที่ว่า การเบิกความของจำเลยทั้งสามยังไม่เป็นการเบิกความเท็จ เป็นการเบิกความตามความเป็นจริง และว่าไม่มีเจตนาจะเบิกความเท็จ ก็เป็นการโต้เถียงว่า ศาลควรจะใช้ดุลพินิจเชื่อพยานหลักฐานฝ่ายใด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน และฎีกาข้อ ๔ ที่ว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งมาเพื่อลงโทษจำเลยนั้น เป็นการกล่าวอ้างขึ้นเองฝืนความเป็นจริงที่ปรากฏในสำนวน สำหรับฎีกาข้อ ๕ อันเป็นข้อสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม นั้นเห็นว่า ในข้อหาฐานเบิกความเท็จ ตามฟ้องโจทก์ได้บรรยายการกระทำผิดของจำเลยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ทั้งจำเลยก็เข้าใจคำฟ้อง ต่อสู้คดีได้ถูกต้องตลอดมา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share