คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1544/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย่อยาว

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ค่าเสียหายของโจทก์รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๑,๙๘๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์มิได้เรียกร้องเอาเต็มจำนวนดังกล่าว คงติดใจขอเพียง ๗๐๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยอีก ๔๘,๑๒๕ บาท รวม ๗๔๘,๑๒๕ บาท ดังนี้ การคิดค่าขึ้นศาลต้องคิดจากจำนวนเงิน ๗๔๘,๑๒๕ บาท ตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง
ในคดีอาญาที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้อง ต.ฐานขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ ขับ เป็นเหตุให้สามีโจทก์ซึ่งโดยสารมากับรถคันนั้นถึงแก่ความตาย และศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ต. คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิด ที่จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ชนกับรถ ต. เป็นเหตุให้สามีโจทก์ถึงแก่ความตายเป็นคดีแพ่ง ดังนี้ ในคดีอาญาดังกล่าวมีประเด็นเพียงว่า ต.ขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังหรือไม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับจำเลยในคดีแพ่งนี้ซึ่งมิใช่คู่ความในคดีเดิม โจทก์จึงนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ได้
ในกรณีที่จำเลยกับผู้อื่นต่างคนต่างทำละเมิด มิใช่ร่วมกันทำละเมิดนั้น ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยรับผิดตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งความผิดของจำเลยได้
โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมกับ ต. ทำละเมิด แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นว่าขอให้แบ่งส่วนความรับผิด แต่เรื่องค่าเสียหายนั้นศาลชอบที่จะกำหนดให้ชำระตามสมควรได้
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ ว่าเป็นนายจ้าง ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้าง กรณีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้ฎีกาก็ตาม เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยที่ ๒ รับผิดน้อยลงศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลตลอดถึงจำเลยที่ ๑ ด้วยได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบัณฑิต กมลพาณิชย์ และเป็นมารดผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงเยาวลักษณ์ เด็กชายยิ้มนิรันดร์ เด็กชายทำดี เด็กหญิงฟ้าอารี และเด็กชายยรรยงค์ซึ่งเกิดจากนายบัณฑิต จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และมีหน้าที่ขับรถยนต์โดยสารประจำทางของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน น.ม.๐๓๔๘๗ ดำเนินกิจการรับส่งคนโดยสารระหว่างจังหวัดชัยภูมิกับจังหวัดนครราชสีมา และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๑๕ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างและในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.ม.๐๓๔๘๗ รับส่งคนโดยสารจากจังหวัดชัยภูมิไปจังหวัดนครราชสีมา ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยที่ ๑ จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยที่ ๑ อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาใช้ให้เพียงพอไม่ กล่าวคือ จำเลยที่ ๑ ขับรถด้วยความเร็วสูงเกินสมควร เมื่อไปถึงระหว่างหลักกิโลเมตรที่ ๑๑๓ กับ ๑๑๔ ขณะนั้นมีรถยนต์โดยสารเล็กหมายเลขทะเบียน ช.ย.๐๐๔๙๗ ซึ่งขับโดยนายเติม ชวฤทธิ์ กำลังจอดรอรับคนโดยสารและสินค้าอยู่บนถนนข้างทางด้านซ้าย จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่จักต้องขับรถยนต์ด้วยความระมัดระวังดูแลความปลอดภัยให้ดีโดยลดความเร็วลงเพราะบริเวณนั้นเป็นถนนแคบ มีรถยนต์แล่นผ่านไปมามาก ทั้งมีทางแยกอยู่ทางซ้ายและขวาของถนนด้วย แต่จำเลยที่ ๑ มิได้ชะลอความเร็วลง เพราะจะแซงรถคันหมายเลขทะเบียน ช.ย.๐๐๔๙๗ และขณะนั้นมีรถยนต์คันอื่นแล่นมาจะสวนทางในระยะใกล้ จำเลยที่ ๑ ก็มิได้ลดความเร็วลง เพื่อให้รถคันที่แล่นสวนมาผ่านไปก่อนได้เร่งความเร็วเพื่อจะแซงรถคันหมายเลขทะเบียน ช.ย.๐๐๔๙๗ ให้ได้ ครั้นเมื่อแซงขึ้นไปยังไม่ทันจะพ้น พอดีรถคันที่สวนทางแล่นเข้ามาในระยะใกล้ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถหลบเข้าทางซ้ายทันที ทำให้รถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับนั้นชนถูกรถคันหมายเลขทะเบียน ช.ย.๐๐๔๙๗ ที่จอดอยู่ รถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับมาเสียหลักแฉลบพลิกคว่ำลงข้าทางด้านขวา และเป็นเหตุให้นายบัณฑิตซึ่งโดยสารมากับรถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับถึงแก่ความตายทันที การกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปลงศพนายบัณฑิตเป็นเงิน ๖๘,๐๐๐ บาท นายบัณฑิตเคยมีรายได้เดือนละ ๑๑,๐๐๐ บาท โจทก์ต้องขาดไร้อุปการะ มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะเป็นเวลา ๑๕ ปี คือจนกว่าเด็กชายยรรยงค์บุตรคนเล็กจะบรรลุนิติภาวะ รวมเป็น ๑,๙๖๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ขอคิดค่าเสียหายทั้งหมดเพียง ๗๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนายจ้างและเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.ม.๐๓๔๘๗ ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๗๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี หากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การที่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.ม. ๐๓๔๘๗ กับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ช.ย.๐๐๔๙๗ ชนกัน และเป็นเหตุให้นายบัณฑิตถึงแก่ความตาย นั้น เกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายเติม ชวฤทธิ์ ผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ช.ย.๐๐๔๙๗ ซึ่งศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดชัยภูมิ) ได้พิพากษาลงโทษจำคุกนายเติม ชวฤทธิ์ มีกำหนด ๑ ปี ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๑/๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ มิได้ขับรถโดยประมาทดังฟ้อง ในคดีอาญาดังกล่าวศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า การที่นายบัณฑิตถึงแก่ความตาย เกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของนายเติม ให้หักรถซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายเบนเลี้ยวขวาโดยกะทันหัน ไม่ให้สัญญาณและไม่ระมัดระวังให้รถด่วนที่จำเลยที่ ๑ ขับมาผ่านแซงไปก่อน เท่ากับเป็นการชี้ขาดว่านายเติมเป็นฝ่ายประมาทแต่ผู้เดียว ในการพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา โจทก์จะนำสืบข้อเท็จจริงให้เปลี่ยนแปลงเป็นว่า จำเลยที่ ๑ ประมาทนั้นหาได้ไม่ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินความเป็นจริง โจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งเรื่องค่าเสียหายฟ้องส่วนนี้จึงเคลือบคลุม ฯลฯ
เมื่อสืบพยานจำเลยเสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในจำนวนทุนทรัพย์ ๑,๙๘๐,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่รถทั้งสองชนกันนั้นเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายเติมคนขับรถคันหมายเลขทะเบียน ช.ย.๐๐๔๙๗ จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ฯลฯ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคือค่าปลงศพ ๒๘,๐๐๐ บาท ค่าขาดไร้อุปการะ ๑,๙๘๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ขอเรียกร้องรวมทั้งสิ้น ๗๐๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องอีก ๔๘,๑๒๕ บาท รวมเป็นทุนทรัพย์ ๗๔๘,๑๒๕ บาท ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่ผูกพันจำเลยในคดีนี้ การที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ ด้วย จำเลยทั้งสองต้องรับผิด และเห็นสมควรคิดค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นให้โจทก์ ๕๔,๘๒๖ บาท ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์และบุตรผู้เยาว์ ๓๖๘,๔๐๐ บาท รวมค่าสินไหมทดแทน ๒ รายการ เป็นเงิน ๔๒๓,๒๒๖ บาท พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ และให้คืนค่าขึ้นศาลที่สั่งให้โจทก์ชำระเพิ่มเติมนั้นให้แก่โจทก์ด้วย
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาข้อแรกโจทก์ควรเสียค่าขึ้นศาลในจำนวนทุนทรัพย์เท่าใดนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะได้บรรยายฟ้องว่าค่าเสียหายของโจทก์รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๑,๙๘๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ก็มิได้เรียกร้องเอาเต็มจำนวนดังกล่าว คงติดใจขอเพียง ๗๐๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยอีก ๔๘,๑๒๕ บาท รวมเป็นเงิน ๗๔๘,๑๒๕ บาทเท่านั้น การคิดค่าขึ้นศาลจึงต้องคิดจากจำนวนเงิน ๗๔๘,๑๒๕ บาท ตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้คืนค่าขึ้นศาลในส่วนที่เกินจาก ๗๔๘,๑๒๕ บาท จึงเป็นการถูกต้องแล้ว
ฎีกาข้อ ๒ ที่ว่า ในคดีอาญาซึ่งถึงที่สุดแล้ว ศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดชัยภูมิ) ได้วินิจฉัยชี้ขาดโดยฟังข้อเท็จจริงว่า การที่รถขนกันนั้นเกิดจากความประมาทของนายเติมแต่ผู้เดียว ในคดีแพ่งนี้โจทก์จึงไม่มีสทธิจะนำสืบเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงให้แตกต่างไปจากคดีอาญานั้น เห็นว่าในคดีอาญาดังกล่าวมีประเด็นเพียงว่านายเติมขับรถด้วยความประมาทปราศจการความระมัดระวังหรือไม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับจำเลยในคดีนี้ซึ่งมิใช่คู่ความในคดีเดิม และคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก็มิได้ฟังข้อเท็จจริงว่า การที่รถชนกันเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังของนายเติมแต่ผู้เดียวดังที่จำเลยอ้าง โจทก์จึงนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ได้
ฎีกาข้อ ๓ ที่ว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้มีส่วนประมาทด้วยนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วฟังว่า จำเลยที่ ๑ มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย
ฎีกาข้อสุดท้ายเรื่องค่าสินไหมทดแทน ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วเห็นสมควรกำหนดค่าปลงศพให้โจทก์ ๔๕,๐๐๐ บาท ส่วนค่าขาดไร้อุปการะนั้นที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้เป็นการสมควรแล้ว
เหตุที่รถชนกันเนื่องจากนายเติมและจำเลยที่ ๑ ผู้ขับรถของจำเลยที่ ๒ ต่างประมาทเลินเล่อ แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายจำเลยเป็นผู้ก่อน้อยกว่านายเติม จึงให้จำเลยที่ ๒ รับผิดเพียงหนึ่งในสามของความเสียหายทั้งหมดเป็นเงิน ๑๒๖,๖๐๐ บาท
คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังว่า เหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของนายเติมฝ่ายเดียว แต่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ ๑ มีส่วนร่วมในการกระทำประมาทเลินเล่อด้วย และศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องนายเติมและจำเลยที่ ๑ ต่างคนต่างทำละเมิด หาใช่ร่วมกันทำละเมิดไม่ ศาลจึงมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งความผิดของจำเลยที่ ๑ ได้ แม้ข้อนี้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้น แต่เรื่องค่าเสียหายนั้น ศาลฎีกาชอบที่จะกำหนดให้ชำระตามสมควรได้
สำหรับจำเลยที่ ๑ ลูกจ้าง ถึงแม้มิได้ฎีกาก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ ว่าเป็นนายจ้าง ซึ่งต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ ๑ กรณีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยที่ ๒ รับผิดน้อยลงโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕ (๑) และมาตรา ๒๔๗ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้มีผลตลอดถึงจำเลยที่ ๑ ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๑๒๖,๖๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี จากจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์

Share