คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3280/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 เป็นหนี้สมยอมกัน ทำขึ้นโดยที่มิได้เป็นหนี้ กันจริงเพื่อช่วยเหลือมิให้โจทก์และเจ้าหนี้อื่นบังคับชำระหนี้ เอา จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ได้ จึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้อง เป็น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 3 ที่มีสิทธิยื่นคำขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ตนเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือ จำหน่ายทรัพย์สินนั้นได้และผู้ร้อง มิใช่เป็นผู้มีสิทธิอันได้ จดทะเบียนไว้โดยชอบหรือเป็นผู้ที่ได้ยื่นคำร้องขอตามที่บัญญัติ ไว้ในมาตรา 288,289 และ 290 แห่ง ป.วิ.พ. ผู้ร้องจึงมิใช่เป็น ผู้ที่มีส่วนได้เสียในวิธีการบังคับคดีอันเกี่ยวด้วยทรัพย์สินคดีนี้ตาม มาตรา 280 แห่ง ป.วิ.พ. ผู้ร้องย่อมไม่มีอำนาจมายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ร่วมกันใช้เงินให้แก่โจทก์ จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวแล้ว นายพิชัย สุวรรณมาศเป็นผู้สู้ราคาสูงสุดเป็นเงินจำนวน 250,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานให้ศาลทราบ ศาลอนุญาตให้ขายได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2530 จำเลยที่ 3ได้โอนที่ดินที่ขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องไปแล้วตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 123/2530 ของศาลชั้นต้น ระหว่างผู้ร้องคดีนี้ โจทก์ จำเลยที่ 3 คดีนี้ จำเลย เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ทราบดีอยู่แล้ว แต่ยังดำเนินการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนกฎหมายขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวไปโดยมิได้แจ้งคำสั่งศาลและวันเวลาขายทอดตลาดให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีทราบทั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดไปต่ำกว่าราคาจริงและราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินมาก ขอให้มีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีเสีย
โจทก์และนายพิชัย สุวรรณมาศ ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดยื่นคำคัดค้านใจความทำนองเดียวกันว่า หนี้ระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 เป็นการสมยอมกันทำขึ้นโดยมิได้เป็นหนี้กันจริง เป็นเจตนาลวงเพื่อมิให้โจทก์และเจ้าหนี้อื่นบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 และเพื่อเป็นการประวิงการบังคับคดี ผู้ร้องจึงมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีนี้ ขณะโจทก์ทำการยึดที่พิพาทยังปรากฏหลักฐานทางทะเบียนมีชื่อจำเลยที่ 3 อยู่ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงทำการยึดทรัพย์โดยชอบ ในการขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปิดประกาศและได้แจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบแล้ว มีผู้เข้าสู้ราคาหลายคน ผู้สู้ราคาสูงสุดได้เสนอราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดและสูงกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีการขายทอดตลาดจึงชอบแล้ว ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาตามข้อฎีกาของผู้ร้องประการแรกมีว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในวิธีการบังคับคดีอันเกี่ยวด้วยทรัพย์สินคดีนี้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าปรากฏจากคำเบิกความของผู้ร้องอ้างตนเองเป็นพยานว่า จำเลยที่ 3ซึ่งเป็นอาของผู้ร้องอายุ 80 ปีเศษ ได้กู้ยืมเงินผู้ร้องไปหลายครั้งรวมแล้วเป็นเงินจำนวนกว่าหนึ่งล้านบาท แต่ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของผู้ร้องเลยว่า จำเลยที่ 3 ซึ่งมีอายุมากแล้ว ประกอบอาชีพอะไรและยืมเงินจำนวนมากของผู้ร้องไปใช้จ่ายอะไร ยิ่งกว่านี้ผู้ร้องเพิ่งมาฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยที่ 3 ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่13 มีนาคม 2530 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1และที่ 3 และศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันใช้เงินให้แก่โจทก์ไปแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 17546/2529ทั้งผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมในวันยื่นฟ้องนั้นเอง โดยมิได้มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 3 แต่อย่างใด ประกอบกับหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว ผู้ร้องไปยื่นเรื่องราวขอให้ออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทเพื่อโอนให้แก่ผู้ร้องโดยอ้างว่าฉบับเดิมหายไป เจ้าพนักงานที่ดินบอกว่าต้องทำการรังวัดใหม่จึงจะออกใบแทนได้ ผู้ร้องก็มิได้ดำเนินการต่อไปอย่างใดด้วย ทั้งขณะบังคับคดีนี้หลักฐานทางทะเบียนยังปรากฏว่ามีชื่อของจำเลยที่ 3 เป็นผู้ถือสิทธิการครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวมาแล้ว จึงเชื่อว่าหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 เป็นหนี้สมยอมกัน ทำขึ้นโดยที่มิได้เป็นหนี้กันจริงเพื่อช่วยเหลือมิให้โจทก์และเจ้าหนี้อื่นบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3ได้ จึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 3ที่มีสิทธิยื่นคำขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ตนเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นได้ และผู้ร้องมิใช่เป็นผู้มีสิทธิอันได้จดทะเบียนไว้โดยชอบหรือเป็นผู้ที่ได้ยื่นคำร้องขอตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 288, 289 และ 290 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องจึงมิใช่เป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียในวิธีการบังคับคดีอันเกี่ยวด้วยทรัพย์สินคดีนี้ตามมาตรา 280 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องย่อมไม่มีอำนาจมายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดรายนี้
พิพากษายืน.

Share