คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3273/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยที่บรรยายว่า ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยให้การรับว่าทำบันทึกข้อตกลงชำระหนี้แทนให้แก่โจทก์จริง แต่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ว่ามีข้อตกลงด้วยวาจาให้จำเลยชำระหนี้น้อยกว่าที่ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลง จำเลยจะมีพยานอื่นใดนำสืบเพราะเป็นการตกลงกันตัวต่อตัวระหว่างโจทก์กับจำเลย ไม่มีผู้ใดอยู่ร่วมรู้เห็นด้วย จำเลยยื่นคำให้การตามความเป็นจริงและปฏิบัติตามความเป็นจริงตามข้อตกลง เพราะเชื่อใจโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังคำให้การและอุทธรณ์ของจำเลยบ้าง จำเลยจึงเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงจำเป็นต้องฎีกา ขอศาลฎีกาได้โปรดบรรเทาและลดยอดหนี้ตามที่จำเลยยื่นคำให้การนั้น เมื่ออ่านโดยตลอดแล้วไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำเลยฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นใดด้วยเหตุผลอะไร และที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2541 นายสมพร แฉล้มวารี ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 3,000,000 บาท และสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2541 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แต่ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ต่อมาวันที่ 15 มิถุนายน 2542 จำเลยทำบันทึกข้อตกลงเข้าชำระหนี้แทนให้แก่โจทก์จำนวน 3,000,000 บาท ภายหลังทำสัญญาจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์เพียง 1,000,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 2,000,000 บาท ตกลงชำระภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2542 หากผิดนัดยอมชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่เหลือแก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับชำระเงินต้นและดอกเบี้ยจำนวน 2,186,575.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 2,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยทำบันทึกข้อตกลงเข้าชำระหนี้แทนนายสมพร แฉล้มวารี ให้แก่โจทก์จำนวน 3,000,000 บาท ตามบันทึกข้อตกลงท้ายฟ้องจริง และได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วบางส่วน ส่วนที่เหลือตกลงด้วยวาจายินยอมให้จำเลยชำระเพียง 1,500,000 บาท มิใช่จำนวน 2,000,000 บาท ตามที่บันทึกไว้ และจำเลยได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ไปบ้างแล้วประมาณ 500,000 บาท แต่โจทก์ไม่ยอมออกหลักฐานการชำระเงินให้ จำเลยจึงไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีก คงมีเงินต้นค้างชำระประมาณ 1,000,000 บาท โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากยอดเงินจำนวนดังกล่าวเท่านั้น จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้จากโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เพียง 1,000,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,186,575.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 2,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 กรกฎาคม 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,500 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาของจำเลยที่บรรยายคำฟ้องฎีกามาว่า ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยให้การรับว่าทำบันทึกข้อตกลงชำระหนี้แทนให้แก่โจทก์จริง แต่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ว่ามีข้อตกลงด้วยวาจาให้จำเลยชำระหนี้น้อยกว่าที่ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลง… จำเลยจะมีพยานอื่นใดนำสืบเพราะเป็นการตกลงกันตัวต่อตัวระหว่างโจทก์กับจำเลย ไม่มีผู้ใดอยู่ร่วมรู้เห็นด้วย จำเลยยื่นคำให้การตามความเป็นจริงและปฏิบัติตามความเป็นจริงตามข้อตกลงเพราะเชื่อใจโจทก์ ทั้งจำเลยก็แก่ชราอายุมากแล้วถือตามความสัตย์จริงตามที่จำเลยยื่นคำให้การ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่กรุณารับฟังคำให้การและอุทธรณ์ของจำเลยบ้าง จำเลยจึงเห็นว่าไม่ถูกต้องนักจึงจำเป็นต้องฎีกา ขอศาลฎีกาได้โปรดกรุณาบรรเทาและลดยอดหนี้ตามที่จำเลยยื่นคำให้การนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่ออ่านฎีกาของจำเลยโดยตลอดแล้วไม่อาจเข้าใจได้และไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นใดด้วยเหตุผลอะไรและที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share