แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้ และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้นำสิ่งประดิษฐ์ที่ทำด้วยไม้สักผ่านด่านอยู่เป็นประจำแทบทุกวันเป็นเวลานาน โดยนำผ่านด่านเพียงครั้ง 1 ชิ้น กรณีเช่นนี้ย่อมเห็นเจตนาของโจทก์โดยชัดแจ้งว่าเป็นการหลีกเลี่ยง กฎหมาย การกระทำของโจทก์เป็นเหตุผลให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์น่าจะ เป็นผู้ค้าสิ่งประดิษฐ์ที่ทำด้วยไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต การที่จำเลยจับโจทก์ด้วยเหตุผลจากพฤติการณ์ของโจทก์เองจึงเป็น การกระทำตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย มิใช่จงใจแกล้งจับโจทก์ หรือประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด จึงมิใช่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยรับราชการตำแหน่งผู้ช่วยป่าไม้จังหวัดลำพูน เป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายป่าไม้ จำเลยได้จับกุมโจทก์ที่ 1 ซึ่งขับรถยนต์บรรทุกเครื่องใช้โต๊ะไม้สัก 1 ตัว และจับกุมโจทก์ที่ 6 ซึ่งขับรถยนต์บรรทุกเครื่องใช้โต๊ะไม้สัก 1 ตัว โดยตั้งข้อหาโจทก์ทั้งสองว่ากระทำผิดฐานค้าหรือมีไม้ไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสิ่งประดิษฐ์หรือเครื่องใช้ที่ทำด้วยไม้หวงห้ามโดยมิได้รับอนุญาต และยึดรถยนต์พร้อมเครื่องใช้ดังกล่าวของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองแจ้งแก่จำเลยในทันทีว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดกฎหมายเพราะเครื่องใช้มีจำนวนเพียงตัวเดียวจะเอาไปให้ญาติใช้สอย แม้จะเพื่อการค้าก็ไม่ผิดกฎหมาย แต่จำเลยก็ยังยืนยันจับโจทก์ทั้งสองส่งให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอลี้ดำเนินคดี เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองต้องถูกคุมขังและถูกยึดรถยนต์เครื่องใช้ดังกล่าวไว้ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 65,400 บาท ให้โจทก์ที่ 1 และชำระเงิน98,064 บาท ให้โจทก์ที่ 6 พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า จำเลยเป็นข้าราชการสังกัดกรมป่าไม้ได้กระทำไปตามอำนาจหน้าที่ เป็นการกระทำไปโดยสุจริตมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งหมดให้ได้รับความเสียหาย จึงไม่เป็นละเมิด และโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ที่ 1 และที่ 6 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 และที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้ และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติในขณะที่จับโจทก์ทั้งสอง โจทก์แต่ละคนมีสิ่งประดิษฐ์ทำด้วยไม้สักไว้ในครอบครองคนละ 1 ชิ้น โจทก์ทั้งสองอ้างว่าไม่ผิดพระราชบัญญัติป่าไม้ เพราะมีประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ผู้ค้าหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสิ่งประดิษฐ์ที่ทำด้วยไม้หวงห้ามเกินกว่า 1 หน่วย จึงต้องขออนุญาต การกระทำของโจทก์ทั้งสองจึงไม่ผิดกฎหมาย แต่พฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้นำสิ่งประดิษฐ์ที่ทำด้วยไม้สักผ่านด่านอยู่เป็นประจำแทบทุกวัน โดยนำผ่านด่านเพียงครั้งละ 1 ชิ้น กรณีเช่นนี้ย่อมเห็นเจตนาของโจทก์ทั้งสองโดยชัดแจ้งว่าเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ผิดกฎหมาย เป็นเหตุผลให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์ทั้งสองน่าจะเป็นผู้ค้าสิ่งประดิษฐ์ที่ทำด้วยไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อจำเลยได้จับกุมโจทก์ทั้งสองในการขับรถผ่านด่านในวันเกิดเหตุ แม้จะมีของประดิษฐ์ที่ทำด้วยไม้สักเพียง 1 ชิ้นแต่พฤติการณ์ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาจนถึงวันถูกจับกุมเป็นเหตุผลอันสมควรที่ชี้ให้เห็นว่าโจทก์ทั้งสองน่าจะมีการกระทำอันผิดกฎหมายการที่จำเลยจับโจทก์ทั้งสองด้วยเหตุผลจากพฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสองเอง จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย มิใช่จงใจแกล้งจับโจทก์ทั้งสองหรือประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด จึงมิใช่เป็นการละเมิด
พิพากษายืน