คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3260/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีแพ่งโจทก์จำเลยตกลงกันไม่สืบพยาน แต่ขอให้ศาลนำคำเบิกความของพยานและพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนคดีอาญาของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ร่วมและจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้ว เป็นพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยเพื่อวินิจฉัยคดีนี้ได้ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบในคดีอาญาดังกล่าวมาวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ สารบบเลขที่ 57 และที่ดินภายในขอบเส้นสีแดงตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องหมายเลข 6 เป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดิน
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้องหมายเลข 6 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 57 ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยานโดยขอให้ศาลนำคำเบิกความของพยานและพยานหลักฐานต่าง ๆในสำนวนคดีอาญาของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ร่วมและจำเลยคดีนี้เป็นจำเลย ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วเป็นพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยคดีนี้เพื่อวินิจฉัยคดี
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกว่า ที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทท้ายฟ้องหมายเลข 6 เป็นของโจทก์หรือจำเลยมากน้อยเพียงใดนั้นพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์
สำหรับฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่า ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อนำสืบในคดีอาญาว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่ มาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบในคดีอาญาในคดีที่จำเลยถูกฟ้องว่าบุกรุกที่ดินพิพาทมาเป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยคดีนี้ตามที่โจทก์จำเลยตกลงกันการรับฟังพยานหลักฐานและการวินิจฉัยคดีของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share