คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3252/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยปลูกบ้านเลขที่7/29 ลงบนที่ดินแปลงที่จำเลยเช่า ส่วนคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 7 ออกไป ซึ่งแม้เลขที่บ้านจะไม่ตรงกับที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าบ้านที่จำเลยปลูกในที่ดินที่เช่านั้นมีหลังอื่นอีก จึงย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า บ้านที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็คือบ้านหลังที่โจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนออกไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ทั้งการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านที่ปลูกในที่ดินที่เช่าออกไปนั้น ไม่จำเป็นต้องระบุเลขที่บ้านก็มีผลบังคับได้อยู่แล้ว เพราะเมื่อจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินที่เช่าแล้ว จำเลยก็ต้องขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดออกไปรวมทั้งบ้านที่ปลูกไว้ด้วย ดังนั้นคำพิพากษาที่ให้รื้อบ้านเลขที่ 7/29 ของจำเลยออกไปจากที่ดินที่เช่าจึงหาเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางวิง นาคอุไร ภริยา เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2522 จำเลยเช่าที่ดินเนื้อที่ 3 ไร่ ของนางวิงมีกำหนด 3 ปี และจำเลยได้ปลูกบ้านเลขที่ 7/29 บนที่ดินที่จำเลยเช่าเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าที่ดินต่อไปและแจ้งให้จำเลยทราบซึ่งเมื่อครบกำหนดแล้ว จำเลยเพิกเฉย จึงฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนเลขที่ 7 หมู่ที่ 9 แขวงลาดพร้าว เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานครและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินที่เช่าให้กับจำเลยชำระเงิน 3,000 บาท และต่อไปอีกปีละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายออกไป
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับภริยาโจทก์จริงโดยทำสัญญาเช่าวันเดียวกัน 3 ฉบับ ฉบับละ 3 ปี ติดต่อกันโจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าและยังไม่ครบกำหนดระยะเวลาเช่าฉบับที่ 3 การบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อโรงเรือนเลขที่ 7/29 หมู่ที่ 9และขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 131แขวงลาดพร้าว เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ของนางวิง นาคอุไร ให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์ปีละ 3,000 บาท หรือเดือนละ 250บาท นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อโรงเรือนขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าวเสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่าศาลพิพากษาเกินคำขอของโจทก์หรือไม่นั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยปลูกบ้านเลขที่ 7/29 ลงบนที่ดินแปลงที่จำเลยเช่า ส่วนคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 7 และขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินที่เช่า ซึ่งบ้านที่โจทก์ให้รื้อถอนออกไปนั้น เลขที่บ้านไม่ตรงกับที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าบ้านที่จำเลยปลูกในที่ดินที่เช่านั้นมีหลังอื่นอีก ดังนั้นย่อมเป็นที่เข้าใจกันระหว่างโจทก์จำเลยว่า บ้านหลังที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็คือบ้านหลังที่โจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนออกไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์นั่นเองทั้งคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ยังมีต่อไปอีกว่า ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินที่เช่าด้วย ฉะนั้นการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านที่จำเลยปลูกในที่ดินที่เช่าออกไปนั้นไม่จำเป็นต้องระบุเลขที่บ้านก็มีผลบังคับอยู่แล้ว เพราะเมื่อจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินที่เช่าต่อไป จำเลยจะต้องขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดออกไป ซึ่งรวมทั้งบ้านที่ปลูกไว้ด้วย ดังนั้น ศาลย่อมพิพากษาให้รื้อบ้านเลขที่ 7/29ของจำเลยออกไปจากที่ดินที่เช่าได้ หาเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่
พิพากษายืน.

Share