คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3252/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ขณะ ส.อุทิศที่พิพาทให้แก่สุขาภิบาลโจทก์ส. มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับผู้อื่น แต่ปรากฏตามเอกสารว่าส. ได้อุทิศที่ดินเฉพาะส่วนของตน ทั้งโจทก์ได้เข้าพัฒนาทำเป็นทางสาธารณะและราษฎรได้ใช้สอยทางนี้ตลอดมา เช่นนี้แสดงว่าเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ยินยอมให้ที่พิพาทเป็นส่วนของส. ที่พิพาทจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันทันทีหาจำต้องจดทะเบียนไม่ และการที่โจทก์เข้าพัฒนาที่พิพาทถือไม่ได้ว่าเป็นการที่โจทก์ครอบครองที่พิพาทและโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
ภาพถ่ายเอกสารรับฟังได้ เนื่องจากต้นฉบับเอกสารหาไม่ได้เพราะสูญหาย
โจทก์เป็นผู้รับมอบการอุทิศทางพิพาทและมีหน้าที่บำรุงทางบกทางน้ำตามกฎหมาย จึงมีอำนาจฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 533 (ตำบลสำโรงใต้อำเภอพระโขนงเมืองนครเขื่อนขันธ์ (ปัจจุบันอำเภอพระประแดงจังหวัดสมุทรปราการ) เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวสิน เม่นมิ่งกับพวกนางสาวสินได้ทำหนังสืออุทิศที่ดินเฉพาะส่วนของตนเนื้อที่ 2 งาน 47 ตารางวาให้แก่โจทก์เพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์และโจทก์ได้พัฒนาปรับปรุงเส้นทางประชาชนใช้สัญจรไปมาตั้งแต่ปี 2508 ในปี 2523 โจทก์จะปรับปรุงเสริมระดับผิวจราจรจำเลยได้ปักหลักขึงลวดหนามกั้นโจทก์ไม่สามารถปรับปรุงได้ขอให้ศาลพิพากษาว่าทางพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องและให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดการแก้ทะเบียนและรูปแผนที่ในโฉนดแล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าการฟ้องคดีเป็นอำนาจหน้าที่หรืออยู่ในวัตถุประสงค์ของโจทก์หนังสืออุทิศที่ดินของนางสาวสินมิได้ทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ผูกพันจำเลยจำเลยรับโอนที่พิพาทมาในภายหลังโดยสุจริตโจทก์มิได้โต้แย้งการครอบครองของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าทางพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องซึ่งเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินในโฉนดเลขที่ 533 ตำบลสำโรงใต้อำเภอพระประแดงจังหวัดสมุทรปราการกว้างประมาณ 4 วา 2 ศอกยาวประมาณ2 เส้นเนื้อที่ประมาณ 2 งาน 47 ตารางวาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับทางพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…นางสาวสินได้อุทิศทางพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่นายจำลอง อรุณพันธ์อดีตกำนันตำบลท้องที่เกิดเหตุและนางทองปลิว เม่นมิ่งพยานโจทก์เบิกความว่าเมื่อปีพ.ศ.2508นางสาวสิน เม่นมิ่งอุทิศทางพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อใช้เป็นทางสาธารณะโดยทำเป็นหนังสือก่อนส่งมอบเอกสารดังกล่าวให้แก่โจทก์นางทองปลิวได้ถ่ายเอกสารไว้ตามเอกสารหมาย จ.3 และในปีเดียวกันนายจำลองนำราษฎรพัฒนาที่ดินเป็นทางเดินและในขณะที่นางสาวสินอุทิศที่ดินดังกล่าวนางทองปลิวได้อุทิศที่ดินของนางทองปลิวที่อยู่ถัดที่ดินของนางสาวสินเข้าไปทางด้านในให้เป็นทางสาธารณะด้วยราษฎรใช้ทางพิพาทตั้งแต่ปีพ.ศ.2508 จนถึงปัจจุบันเห็นว่านายจำลองเป็นผู้ลงชื่อเป็นพยานในเอกสาร นางทองปลิวเป็นผู้ถ่ายเอกสารและเก็บรักษาเอกสารนั้นไว้เป็นผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดเป็นคำเบิกความที่มีน้ำหนักเอกสารหมาย จ.3 มีข้อความระบุไว้ชัดว่าอุทิศที่ดินส่วนของนางสาวสินให้เป็นสาธารณประโยชน์แม้เอกสารดังกล่าวเป็นสำเนา ศาลรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวได้เนื่องจากต้นฉบับเอกสารหาไม่ได้เพราะสูญหายพฤติการณ์ที่นางทองปลิวอุทิศที่ดินของตนให้เป็นทางสาธารณะแก่โจทก์ทั้งๆ ที่ทางพิพาทปิดกั้นไว้และที่ดินที่อยู่ถัดเข้าไปทางข้างในเป็นที่ดินของนางสาวสินอีกประมาณ 60 ไร่และใช้เป็นที่จัดสรรในเวลาต่อมาแสดงว่านางสาวสินมีเจตนาจะให้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกของบุคคลที่จะอยู่ในที่ดินดังกล่าวในโอกาสต่อไปด้วย การที่โจทก์ไม่จดทะเบียนที่ดินว่าเป็นของโจทก์ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญทั้งพยานหลักฐานของจำเลยที่จะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ข้อนี้ไม่มีข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางสาวสินได้อุทิศที่ดินให้แก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3
ปัญหาว่าทางพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่เห็นว่าแม้ขณะนางสาวสินอุทิศที่พิพาทให้แก่โจทก์นางสาวสินถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับคนอื่น ๆ อีก 7 คนแต่ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 ว่านางสาวสินอุทิศที่ดินเฉพาะส่วนของตนทั้งเมื่ออุทิศแล้วสุขาภิบาลโจทก์ได้เข้าพัฒนาทำเป็นทางสาธารณะและราษฎรได้ใช้สอยทางนั้นตลอดมาแสดงว่าเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ยินยอมให้ที่พิพาทเป็นส่วนของนางสาวสินการที่นางสาวสินอุทิศที่พิพาทให้แก่โจทก์เพื่อใช้เป็นทางสาธารณะที่พิพาทจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันทันทีและหาต้องจดทะเบียนการได้มาแต่อย่างใดไม่ ทั้งการที่โจทก์เข้าพัฒนาที่พิพาทเป็นทางสาธารณะและการที่ราษฎรใช้ทางพิพาทก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการที่โจทก์ครอบครองที่พิพาทและโดยเจตนาเป็นเจ้าของโจทก์หาได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทไม่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยอย่างไรก็ดีโจทก์เป็นผู้รับการอุทิศที่พิพาทเป็นผู้ดูแลที่พิพาทและมีหน้าที่บำรุงทางบกทางน้ำตามกฎหมายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้บังคับจำเลยเป็นคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน’
พิพากษาแก้เป็นว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของโจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share