แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายนั้น ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 การที่จำเลยที่ 1 ได้รับทุนการศึกษาจากส่วนราชการให้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ แม้ขณะนั้นยังคงสถานะเป็นข้าราชการแต่ก็มิใช่เป็นการอยู่รับราชการหรือปฎิบัติหน้าที่ราชการตามความหมายของสัญญาการรับทุน จึงไม่อาจนำระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อนับรวมเข้าเป็นระยะเวลาปฎิบัติหน้าที่ราชการใช้ทุนตามสัญญาฉบับก่อนที่ทำไว้ต่อโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 รับราชการสังกัดกองทัพอากาศและได้รับทุนการศึกษาให้ไปศึกษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทำสัญญาไว้แก่โจทก์ว่าตกลงจะอยู่รับราชการในกระทรวงกลาโหมเป็นเวลา2 เท่าของระยะเวลาที่ไปศึกษา แต่ไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือครบ10 ปี นับแต่กลับมารับราชการในกระทรวงกลาโหม หรือนับแต่วันครบกำหนดสัญญาอื่น หากผิดสัญญายอมใช้เงินจำนวน 3 เท่าของเงินเดือนและค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นที่ทางราชการได้จ่ายให้ จำเลยที่ 2ทำสัญญาค้ำประกันรวมเวลาที่ไปศึกษาทั้งสิ้น 7 เดือน 11 วันและทางราชการได้จ่ายค่าใช้จ่ายไปจำนวน 146,090.75 บาท กับ550 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยที่ 1 จะต้องรับราชการใช้ทุนให้โจทก์3 ปี แต่จำเลยที่ 1 ต้องรับราชการชดใช้โจทก์ตามสัญญาฉบับอื่นที่ทำไว้กับทางราชการอยู่ก่อน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่10 พฤศจิกายน 2528 จึงนับระยะเวลารับราชการใช้ทุนตามสัญญานี้ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2528 ครบกำหนด 3 ปี ในวันที่10 พฤศจิกายน 2531 ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ลาไปศึกษาต่อยังต่างประเทศในหลักสูตรอื่น แล้วได้หนีราชการจนกองทัพอากาศมีคำสั่งให้ปลดออกจากราชการ จำเลยที่ 1 รับราชการให้ทุนให้โจทก์เพียง1 ปี 4 เดือน 11 วัน ยังเหลือระยะเวลารับราชการใช้ทุนอีก1 ปี 7 เดือน 19 วัน จำเลยที่ 1 จะต้องใช้เงินให้แก่โจทก์จำนวน237,747.68 บาท กับ 895.07 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 28,232.54 บาทกับ 106.29 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน265,980.22 บาท กับ 1,001.36 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 237,747.68 บาท กับ895.07 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันตามฟ้องจริง ใบสมัครเข้าเป็นนักเรียนจ่าอากาศ ซึ่งทำไว้กับกรมยุทธศึกษาทหารอากาศ ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขให้จำเลยที่ 1 ต้องรับราชการชดใช้ให้โจทก์ ระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ต้องรับราชการใช้ทุนจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2528 การนับระยะเวลารับราชการใช้ทุนให้โจทก์ต้องนับเวลาซ้อนกับระยะเวลาตามสัญญาที่จำเลยที่ 1 มีต่อโรงเรียนจ่าอากาศ ยังเหลือระยะเวลารับราชการใช้ทุนให้โจทก์อีก 10 เดือน 9 วัน เท่านั้น ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกจึงไม่เป็นความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน164,063.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 มกราคม 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระเงินจำนวน 145,757.45 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 ควรจะต้องรับราชการใช้ทุนอีกต่อไปเป็นระยะเวลาเท่าใด ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเมื่อปี 2527 จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการสังกัดกองทัพอากาศได้รับทุนการศึกษาไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจำเลยที่ 1 ทำสัญญาสำหรับผู้ที่ทางราชการส่งไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ตกลงว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะต้องรับราชการใช้ทุนให้โจทก์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 เท่า ของเวลาที่ไปศึกษาต่อแต่ไม่น้อยกว่า 3 ปี จำเลยที่ 1 เดินทางไปศึกษาต่อเมื่อวันที่17 มิถุนายน 2528 กลับมารายงานตัวเข้ารับราชการเมื่อวันที่28 มกราคม 2528 คิดเป็นระยะเวลาที่ศึกษาในต่างประเทศ7 เดือน 11 วัน จะต้องรับราชการใช้ทุนเป็นระยะเวลา 3 ปีแต่จำเลยที่ 1 ต้องรับราชการชดใช้ตามสัญญาต่อโรงเรียนจ่าอากาศอยู่ก่อน ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้เข้าศึกษาเป็นเวลา 2 ปี ต้องรับราชการชดใช้เป็นเวลา 6 ปี จำเลยที่ 1 ได้รับบรรจุให้เข้ารับราชการเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2522 ซึ่งจะครบกำหนด 6 ปี วันที่ 31 มีนาคม 2528 ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ระหว่างจำเลยที่ 1 ได้รับทุนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้ารับราชการหรือปฎิบัติราชการตามความหมายของระเบียบกองทัพอากาศว่าด้วยนักเรียนจ่าอากาศจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อนำความรู้และประสบการณ์จากต่างประเทศกลับมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาวิทยาการ หน่วยงานของกองทัพอากาศซึ่งระหว่างที่ศึกษาอยู่นั้น จำเลยที่ 1 ต้องประพฤติตามกฎ ข้อบังคับ คำสั่ง และแบบธรรมเนียมของทางราชการอย่างเคร่งครัดหากฝ่าฝืนจำเลยที่ 1จะต้องถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง ดังนั้นระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ได้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศจึงต้องนับรวมเข้าเป็นระยะเวลารับราชการชดใช้ 6 ปี ตามสัญญาต่อโรงเรียนจ่าอากาศซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 31 มีนาคม 2528 ระยะเวลารับราชการใช้ทุนตามสัญญาที่ทำไว้ต่อโจทก์ จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2528และครบกำหนดวันที่ 31 มีนาคม 2531 จำเลยที่ 1 ได้รับทุนการศึกษาไปศึกษาต่อยังต่างประเทศอีกเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2530 จำเลยที่ 1จึงรับราชการใช้ทุนให้โจทก์แล้วเป็นระยะเวลา 1 ปี 11 เดือน22 วัน คงเหลือระยะเวลาที่ต้องรับราชการใช้ทุนให้โจทก์อีกเพียง1 ปี 9 วัน นั้น เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ได้รับทุนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ เป็นการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์อันเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 1 โดยตรง ซึ่งนอกจากจะทำให้วิทยฐานะสูงขึ้นแล้ว ยังจะทำให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไปในภายภาคหน้าแม้ขณะเดียวกันประสบการณ์และความรู้ที่จำเลยที่ 1 ได้ศึกษามาจะเป็นประโยชน์แก่หน่วยงานต้นสังกัดด้วย และแม้ขณะจำเลยที่ 1ไปศึกษาอยู่นั้น จำเลยที่ 1 ยังมีสถานะเป็นข้าราชการจะต้องประพฤติปฎิบัติตามกฎข้อบังคับ คำสั่ง และระเบียบแบบแผนของทางราชการก็ตาม แต่ก็มิใช่เป็นการอยู่รับราชการหรือปฏิบัติหน้าที่ราชการตามความหมายของสัญญาการรับทุน ดังนั้น จึงจะนับระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อเป็นเวลา 7 เดือน 11 วันรวมเข้าเป็นระยะเวลาปฎิบัติหน้าที่ราชการด้วยหาได้ไม่ ระยะเวลารับราชการใช้ทุนตามสัญญาที่ทำไว้ต่อโจทก์จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2528 ซึ่งจะครบกำหนด 3 ปี ในวันที่10 พฤศจิกายน 2531 หาใช่นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2528 ดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 รับราชการใช้ทุนให้โจทก์จนถึงวันที่ 22 มีนาคม 2530 เนื่องจากได้รับทุนการศึกษาไปศึกษาต่อยังต่างประเทศอีก จำเลยที่ 1 จึงรับราชการใช้ทุนให้โจทก์แล้วเป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน 11 วัน จำเลยที่ 1 ยังจะต้องรับราชการใช้ทุนให้โจทก์ต่อไปอีก 1 ปี 7 เดือน 19 วัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน