คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เมาสุราถือปืนคาไบน์ส่งเสียงเอะอะในบริเวณงาน จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตำรวจสถานีเดียวกันยื้อยุดฉุดตัวจำเลยที่ 1 กลับบ้าน ระหว่างนี้เองปืนคาไบน์ในมือจำเลยที่ 1 ลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนถูกจำเลยที่2 ที่ท้องทะลุหลัง ปืนลั่นแล้วจำเลยที่ 1 ยังตามเข้าไปเตะจำเลยที่ 2 มีคนเข้าช่วยแย่งปืน ปืนของจำเลยที่ 1 ได้ลั่นขึ้นอีก 1 นัด เป็นเหตุให้ จำเลยที่ 2 เข้าใจในขณะนั้นว่าจำเลยที่ 1 ตามเข้าไปเพื่อจะยิงซ้ำ จำเลยที่ 2 จึงได้ใช้ปืนพกที่มีอยู่ยิงจำเลยที่ 1 ไปในทันทีถูกที่ขาจำเลยที่ 1 ดังนี้ เห็นว่าจำเลยที่ 2 มิใช่ผู้ก่อเหตุและกระทำไปด้วยความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงถึงภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และใกล้จะถึงตัว จำเลยที่ 2 มีสิทธิจะป้องกันชีวิตของตนได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62ประกอบด้วยมาตรา 68

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนคาไบน์ยิงทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 12 นัดด้วยเจตนาฆ่า กระสุนปืนที่จำเลยที่ 1 ยิงถูกจำเลยที่ 2 ที่ท้องถึงอันตรายสาหัส และจำเลยที่ 1 ได้เตะจำเลยที่ 2 ไม่ถึงอันตรายแก่กาย และจำเลยที่ 2ได้ใช้ปืนพกขนาด .38 ยิงจำเลยที่ 1 1นัด กระสุนถูกขาซ้ายของจำเลยที่ 1ถึงอันตรายสาหัส ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองมีเจตนา ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 297

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, และ 72

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า คืนวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เมาสุราก่อความรำคาญในบริเวณงาน จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตำรวจประจำสถานีเดียวกันขอร้องก็ไม่ยอม ต้องใช้กำลังยื้อยุดฉุดตัวกัน ระหว่างนี้เองปืนคาร์ไบน์ที่จำเลยที่ 1ถืออยู่เกิดลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนปืนถูกท้องจำเลยที่ 2 ทะลุหลังมีคนเข้าช่วยแย่งและจำเลยที่ 1 ยังตามไปเตะจำเลยที่ 2 แต่ไม่ถูก ปืนของจำเลยที่ 1 ได้ลั่นขึ้นอีก 1 นัด ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อปืนในมือจำเลยที่ 1 ลั่นถูกจำเลยที่ 2 ที่ท้องทะลุหลังจนจำเลยที่ 2 เซถอยหลังล้มฟุบลง จำเลยที่ 1 ยังตามเข้าไปเตะจำเลยที่ 2 และปืนได้ลั่นขึ้นอีก 1 นัด ประกอบกับจำเลยที่ 1 เมาสุราเป็นเหตุผลเพียงพอที่ทำให้จำเลยที่ 2 เข้าใจในขณะนั้นว่าจำเลยที่ 1 ตามเข้าไปเพื่อจะยิงซ้ำจึงได้ใช้ปืนพกยิงสวนออกไปในทันที จำเลยที่ 2 มิได้เป็นผู้ก่อเหตุกระทำไปด้วยความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงถึงภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและใกล้จะถึงตัว จำเลยที่ 2 มีสิทธิยิงป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 และ 68 จำเลยที่ 2 ยิงถูกจำเลยที่ 1 เพียงส่วนขาซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่ายิงโดยกระชั้นชิดและจวนตัวไม่อาจเลือกเป้าหมายได้ การยิงสวนออกไปเพื่อยับยั้งโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงเช่นนี้เป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบ

พิพากษายืน

Share