คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ราคาสินค้าที่เจ้าพนักงานประเมินถือตามเป็นราคาที่ผู้นำเข้าได้นำเข้าก่อนโจทก์ไม่นานนัก และบางรายก็ปรากฏว่าได้นำเข้าหลังโจทก์เพียง 1 วัน เป็นการที่เจ้าพนักงานประเมินได้ปฏิบัติตามคำสั่งเฉพาะของกรมศุลกากรที่ 14/2524 และคำสั่งทั่วไปของกรมศุลกากรที่8/2530 ซึ่งแม้คำสั่งดังกล่าวจะมิใช่กฎหมายแต่ก็แสดงว่าเป็นการปฏิบัติที่มีแนวทางที่ถูกต้องชอบธรรมและกระทำโดยสุจริตและแม้ราคาสินค้าที่บริษัทอื่นนำเข้ามาจะเป็นราคาในช่วงเวลาก่อนและหลังการนำเข้าของโจทก์ แต่เมื่อเป็นราคาที่อยู่ในระยะเวลาใกล้ชิดกันมากและโดยปกติสินค้ามัก จะขึ้นราคาไปเรื่อย ๆ เมื่อราคาที่นำเข้ามาก่อนกลับสูงกว่าที่โจทก์นำเข้าจึงมีเหตุให้น่าสงสัยว่า ราคาที่ซื้อมาอาจมิใช่ราคาอันแท้จริง หากราคาที่โจทก์ซื้อต่ำกว่าราคาที่บริษัทอื่นซื้อเพราะโจทก์เป็นลูกค้าประจำและโจทก์สั่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก หรือเพราะบริษัทผู้ขายย่อมขายให้ลูกค้าแต่ละรายแตกต่างกันก็ย่อมแสดงว่าราคาที่โจทก์ซื้อเป็นราคาที่ได้หักทอนหรือลดหย่อนซึ่งเมื่อไม่ปรากฏว่าเป็นการลดหย่อนทั่ว ๆ ไป การลดหย่อนดังกล่าวจึงเป็นการลดหย่อนกรณีพิเศษเฉพาะราย ซึ่งตาม พ.ร.บ. ศุลกากรฯมาตรา 2 จะถือเอามาเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้สั่งซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์ ประเภทไวนิลอะซีเตท โมโนเมอร์ (VINYL ACETATE MONOMER) จากบริษัทผู้ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในประเภทพิกัดที่2915.32 ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2531 อัตราอากร 20%ของราคา CIF และเคมีภัณฑ์ประเภทบิวทิล ไกลคอล อีเทอร์ (BUTYLGLYCOL ETHER) จากบริษัทผู้ผลิตในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในประเภทพิกัดที่ 2909.49 ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2531 อัตราอากร 15% ของราคา CIF สินค้าทั้งสองชนิดดังกล่าว โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรรวม 7 เที่ยวเรือโดยโจทก์ได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเสียภาษีอากรรับของออกจากอารักขาตามระเบียบและพิธีการศุลกากรโดยโจทก์ได้สำแดงราคาสินค้าเพื่อเสียภาษีอากรตามราคาที่โจทก์ซื้อมาจริงในชั้นผ่านพิธีการศุลกากร โจทก์ได้ชำระค่าภาษีอากรตามราคาที่โจทก์ซื้อมาจริงต่อมากรมศุลกากรจำเลยได้ประเมินราคาสินค้าโจทก์เพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าที่โจทก์ได้ซื้อมาจริงและคำนวณแจ้งเรียกเก็บจากโจทก์เพิ่ม รวมเป็นเงินค่าภาษีอากรศุลกากรที่จำเลยเรียกเก็บจากโจทก์ไว้เกินกว่าที่โจทก์จะต้องพึงเสียจริงตามกฎหมายรวมทั้งสิ้น 1,509,776.75 บาทโจทก์ไม่เห็นด้วยกับการที่จำเลยได้ประเมิน ราคาสินค้าโจทก์เพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าที่โจทก์ซื้อมาจริง ราคาที่โจทก์ซื้อมาและสำแดงเพื่อเสียภาษีอากรต่อจำเลยเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดที่พึงถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเรียกเก็บภาษีอากรได้ การที่จำเลยประเมินราคาสินค้าโจทก์เพิ่มขึ้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 2 วรรคสิบสอง, 10 ทวิ และ 41 ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานจำเลย ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,535,276.50บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า หลักฐานเอกสารการตกลงซื้อขาย บัญชีราคาสินค้าที่ซื้อขายและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างในฟ้อง ไม่ใช่หลักฐานเอกสารที่แสดงถึงราคาที่แท้จริงในท้องตลาด ราคาที่โจทก์ซื้อเข้ามาจึงไม่ใช่ราคาซื้อขายที่ถูกต้องแท้จริง และไม่ใช่ราคาในท้องตลาดที่เป็นจริงขณะนั้น แต่เป็นราคาต่ำกว่าราคาสินค้าอันแท้จริงตามความในกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ในการประเมินราคาสินค้าของโจทก์ให้สูงขึ้นนั้น ก็โดยที่สินค้าที่โจทก์นำเข้ามาดังกล่าว ได้เคยมีผู้นำเข้ารายอื่นได้นำสินค้าชนิดเดียวกันพิกัดอัตราศุลกากรเดียวกัน เมืองกำเนิดเดียวกันในระยะเวลาการนำสินค้าเข้ามาใกล้เคียงกันเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ได้สำแดงราคาและชำระภาษีอากรสูงกว่าที่โจทก์ได้สำแดงไว้ แสดงว่า โจทก์ได้สำแดงราคาสินค้าไว้เพื่อเสียภาษีต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดจำเลยจึงต้องประเมินราคาสินค้าเพิ่มขึ้นให้ถูกต้องตามราคาอันแท้จริงในท้องตลาด การประเมินของจำเลยดังกล่าวเป็นการถูกต้องชอบด้วยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินอากรศุลกากรพร้อมดอกเบี้ย
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินเกี่ยวกับราคาสินค้าของโจทก์ในส่วนที่เจ้าพนักงานตีราคาเพิ่มขึ้น ให้จำเลยคืนเฉพาะเงินค่าอากรขาเข้าที่โจทก์ต้องเสียเพิ่มจำนวน 1,535,276.40บาท กับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือนในต้นเงินดังกล่าว ตามมาตรา 112 จัตวา วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “มีปัญหาในชั้นนี้ว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเป็นดังที่โจทก์สำแดงไว้อันจะทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ชอบต้องเพิกถอน หรือเป็นดังที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินไว้อันจะทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินเป็นการชอบ พิเคราะห์แล้ว แม้จะฟังว่าราคาสินค้ารายพิพาทที่โจทก์ซื้อมาและนำเข้ามาในราชอาณาจักร จะเป็นราคาตามที่โจทก์สำแดงไว้อันเป็นราคาขายส่งเงินสด ที่โจทก์ซื้อมาจากบริษัทต่างประเทศแต่จำเลยก็ได้นำสืบว่าสินค้าประเภทเดียวกันนี้ที่บริษัทอื่น ๆสั่งซื้อและนำเข้ามาก่อนโจทก์ แต่เป็นเวลาใกล้เคียงกันและจากประเทศเดียวกันมีราคาสูงกว่าราคาที่โจทก์สำแดงไว้ ดังรายละเอียดจากข้อเท็จจริงที่ฟังได้เบื้องต้นดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งแม้บางรายจะเป็นการสั่งซื้อจากคนละบริษัทกับที่โจทก์สั่งซื้อก็ย่อมนำมาพิจารณาเปรียบเทียบได้ และเมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานแล้วจะเห็นได้ว่า ราคาสินค้าที่เจ้าพนักงานประเมินถือตามนั้น เป็นราคาที่ผู้นำเข้าได้นำเข้าก่อนโจทก์ไม่นานนัก และบางรายก็ปรากฏว่าได้นำเข้าหลังโจทก์เพียง 1 วัน เป็นการที่เจ้าพนักงานประเมินได้ปฏิบัติตามคำสั่งเฉพาะของกรมศุลกากรที่ 14/2524 และคำสั่งทั่วไปของกรมศุลกากรที่ 8/2530 ซึ่งแม้คำสั่งดังกล่าวจะมิใช่กฎหมาย แต่ก็แสดงว่าเป็นการปฏิบัติที่มีแนวทางที่ถูกต้องชอบธรรมและกระทำโดยสุจริต และแม้ราคาสินค้าที่บริษัทอื่นนำเข้ามาจะเป็นราคาในช่วงเวลาก่อนและหลังการนำเข้าของโจทก์ แต่เมื่อเป็นราคาที่อยู่ในระยะเวลาใกล้ชิดกันมากและโดยปกติสินค้มักจะขึ้นราคาไปเรื่อย ๆเมื่อราคาที่นำเข้ามาก่อนกลับสูงกว่าที่โจทก์นำเข้า จึงมีเหตุให้น่าสงสัยว่า ราคาที่ซื้อมาอาจมิใช่ราคาอันแท้จริงก็ได้ หากจะอ้างว่าที่ราคาที่โจทก์ซื้อต่ำกว่าราคาที่บริษัทอื่นซื้อเพราะโจทก์เป็นลูกค้าประจำและโจทก์สั่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก หรืออ้างว่าเพราะบริษัทผู้ขายย่อมขายให้ลูกค้าแต่ละรายแตกต่างกัน ก็ย่อมแสดงว่าราคาที่โจทก์ซื้อเป็นราคาที่ได้หักทอนหรือลดหย่อนซึ่งเมื่อโจทก์มิได้นำสืบว่าเป็นการลดหย่อนทั่ว ๆ ไป การลดหย่อนตามข้ออ้างข้างต้นจึงเป็นการลดหย่อนกรณีพิเศษเฉพาะราย ซึ่งตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 2 จะถือเอามาเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดไม่ได้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ราคาอันแม้จริงในท้องตลาดของสินค้าราคาพิพาทเป็นดังที่เจ้าพนักงานประเมินตีราคา ภาษีศุลกากรจึงเป็นไปตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินเรียกเก็บจากโจทก์ มิใช่เป็นไปตามที่โจทก์อ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและไม่มีสิทธิเรียกคืนเงินภาษีที่จำเลยได้เรียกเก็บไว้แล้ว…”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง.

Share