คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3242/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์แม้จำเลยสั่งจ่ายเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ของ พ. ที่มีต่อโจทก์ แต่เมื่อ พ. ยังไม่ได้ชำระหนี้ต่อโจทก์ หนี้ตามเช็คพิพาทจึงยังคงมีอยู่จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้น ทั้งจะนำบทบัญญัติในเรื่องการผ่อนเวลาของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะค้ำประกันมาใช้บังคับเพื่อให้จำเลยพ้นจากความรับผิดหาได้ไม่
ความเสียหายอันเกิดจากผู้ทรงเช็คไม่นำเช็คไปขึ้นเงินต่อธนาคาร ภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 990 นั้นหมายถึงผู้สั่งจ่ายเสียเงินที่มีอยู่ในธนาคารเพราะการที่ผู้ทรงไม่นำเช็คไปขึ้นเงินภายในกำหนด เช่นธนาคารล้มละลาย เป็นต้น ดังนั้น แม้จะฟังได้ว่าการที่โจทก์นำเช็คพิพาทไปยื่นต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงินล่าช้า จน พ.หลบหนีไปแล้วจึงดำเนินการ ทำให้จำเลยเสียหาย ไม่สามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยจาก พ. ได้ กรณีก็ไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าวจำเลยจึงไม่พ้นความรับผิดตามเช็คพิพาท.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๖ จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์และออกเช็คให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ดังกล่าว ต่อมาโจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้จำเลยชำระเงิน ๕๓,๗๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามกฎหมาย
จำเลยให้การว่าไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ จำเลยออกเช็คให้โจทก์เพื่อค้ำประกันนายไพบูลย์ที่ยืมเงินโจทก์ ต่อมาโจทก์ยอมผ่อนเวลาให้นายไพบูลย์จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดและโจทก์ไม่ปฏิบัติตามป.พ.พ.มาตรา ๙๙๐ ย่อมเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายคดีโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๖ จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ของนายไพบูลย์ที่มีต่อโจทก์นั้นเห็นว่าแม้จะฟังดังที่จำเลยต่อสู้เมื่อปรากฏว่านายไพบูลย์ยังไม่ได้ชำระหนี้เงินกู้ต่อโจทก์หนี้ตามเช็คพิพาทจึงยังคงมีอยู่และโดยที่จำเลยเป็นผู้ลงชื่อสั่งจ่ายในเช็คพิพาทย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๙๐๐ จำเลยจะอ้างว่าไม่มีเจตนาจะให้ใช้เงินตามเช็คนั้นเพื่อให้พ้นความรับผิดหาได้ไม่
ที่จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่าเมื่อหนี้เงินกู้ที่นายไพบูลย์มีต่อโจทก์ถึงกำหนดชำระ จำเลยบอกให้โจทก์ฟ้องเรยกเงินคืนแต่โจทก์เพิกเฉยถือว่าเป็นการผ่อนเวลาให้ลูกหนี้จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงพ้นจากความรับผิดนั้นเห็นว่าการที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์แม้จำเลยจะอ้างว่าเป็นการค้ำประกันหนี้ของนายไพบูลย์ก็ตามเมื่อหนี้ของนายไพบูลย์ยังมิได้ชำระจำเลยก็ต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คพิพาทดังที่วินิจฉัยไว้แล้วข้างต้นจะนำบทบัญญัติในเรื่องการผ่อนเวลาของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะค้ำประกันมาใช้บังคับเพื่อให้จำเลยพ้นจากความรับผิดหาได้ไม่
ที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่าการที่โจทก์นำเช็คพิพาทไปยื่นต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงินล่าช้าจนกระทั่งนายไพบูลย์หลบหนีไปแล้วจึงดำเนินการทำให้จำเลยเสียหายไม่สามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากนายไพบูลย์ได้ผู้ทรงเช็คคือโจทก์ต้องเสียสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยผู้สั่งจ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๙๙๐ นั้นศาลฎีกาเห็นว่าความเสียหายอันเกิดจากผู้ทรงเช็คไม่นำเช็คไปขึ้นเงินต่อธนาคารภายในกำหนดตามมาตรา ๙๙๐ นั้นหมายถึงผู้สั่งจ่ายเสียเงินที่มีอยู่ในธนาคารเพราะการที่ผู้ทรงเช็คไม่นำเช็คไปขึ้นเงินภายในกำหนดเช่นธนาคาร-ล้มละลายเป็นต้นคดีนี้แม้ข้อเท็จจริงจะเป็นดังที่จำเลยอ้างกรณีก็ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
พิพากษายืน.

Share