แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จะไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางเพื่อขนกลับไปคืนให้แก่ ศ. เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวนมาก จำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมรู้ว่า ศ. มีไว้เพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมถือได้ว่ามีเจตนาร่วมกับ ศ. มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
การที่จำเลยที่ 2 เข้าไปที่โรงแรม อ. ขอกุญแจห้องพักหมายเลข 503 จากพนักงานของโรงแรมดังกล่าวและถูกจับกุมขณะกำลังเปิดประตูห้องพัก ส่วนจำเลยที่ 3 เข้าไปที่โรงแรม ล. ขณะกำลังเคาะประตูห้องพักหมายเลข 10 เพื่อจะไปรับเมทแอมเฟตามีนคืนให้ ศ. จึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเช่นกัน ถือว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงมือกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว แม้การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะไม่บรรลุผลสำเร็จก็ตาม การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็เข้าขั้นพยายามมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่ใช่เป็นเพียงความผิดฐานสนับสนุน ศ. มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ย่อยาว
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อย.1736/2555 แต่คดีดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงขึ้นสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้และให้เรียกชื่อคู่ความคดีนี้ตามเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 83 ริบกระเป๋าสีเขียว กระเป๋าลายสกอตและโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมซิมการ์ดของกลางและบวกโทษของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2018/2551 ของศาลจังหวัดสงขลา เข้ากับโทษในคดีนี้ เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง และบวกโทษจำเลยที่ 2 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2235/2552 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 214/2553 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษและขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2) (ที่ถูก ไม่ต้องปรับบทวรรคหนึ่ง), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต และเมื่อลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจบวกโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2018/2551 ของศาลจังหวัดสงขลา เข้ากับโทษในคดีนี้ได้อีก ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทุกข้อหา ริบของกลางทั้งหมดยกเว้นโทรศัพท์เคลื่อนที่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52 (1), 86 จำคุกคนละตลอดชีวิต เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจเพิ่มโทษและบวกโทษของจำเลยที่ 2 ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51 จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้ กับให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 ซิมการ์ด ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 รับจ้างนายศรชัยหรือตี๋หรือศร จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อย.1736/2555 ของศาลชั้นต้น ขนเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 20,000 เม็ด เมทแอมเฟตามีนชนิดผลึกใส 1 ถุง รวมน้ำหนักสุทธิ 2,784.270 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 1,198.659 กรัม ของกลาง จากจังหวัดเชียงใหม่ไปส่งที่ภาคใต้ แต่ระหว่างทางถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมของกลาง เจ้าพนักงานตำรวจขยายผลจับกุมจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายศรชัยได้และกล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และนายศรชัยมีเมทแอมเฟตามีนของกลาง อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ ซึ่งเห็นควรวินิจฉัยไปพร้อมกัน จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุ ตามที่มีการวางแผนการจับกุม โดยได้รับการติดต่อจากนายศรชัย จำเลยที่ 2 อาจไม่ทราบว่าเป็นการไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางคืนก็ได้ ส่วนจำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 เพียงแต่เดินทางไปที่โรงแรมลิตเติ้ลอินน์และประสงค์เข้าพัก โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 กระทำการอันใดเกี่ยวกับเมทแอมเฟตามีนของกลาง อันจะส่อแสดงให้เห็นว่ามารับของกลางคืนนั้น โจทก์มีพันตำรวจโทถิรวัฒน์ พันตำรวจโทรณฤทธิ์และสิบตำรวจเอกนพพัฒน์ เป็นพยานเบิกความได้ความว่าในวันเกิดเหตุตามฟ้อง เวลาประมาณ 9 นาฬิกา สิบตำรวจเอกนพพัฒน์ ได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีผู้ลักลอบขนยาเสพติดให้โทษจากจังหวัดเชียงใหม่ไปยังกรุงเทพมหานครผ่านทางรถไฟ จึงเฝ้าระวังและทำการตรวจค้นผู้โดยสารที่เดินทางโดยรถไฟ เมื่อตรวจค้นกระเป๋าเดินทาง 2 ใบ ของจำเลยที่ 1 พบเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 10 มัด มัดละ 2,000 เม็ด รวม 20,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าลายสกอต และพบเมทแอมเฟตามีนชนิดผลึกใส บรรจุอยู่ในถุงพลาสติก 1 ถุง น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม ซุกซ่อนในกระเป๋าสีเขียว จึงจับกุมจำเลยที่ 1 พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนเป็นของกลาง พร้อมกับแจ้งให้พันตำรวจโทถิรวัฒน์ทราบ หลังจากนั้น พันตำรวจโทถิรวัฒน์ เดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุและควบคุมตัวจำเลยที่ 1 ไปที่ทำการของสถานีตำรวจรถไฟซึ่งตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟเชียงใหม่ ชั้นจับกุม จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่า ลักลอบขนเมทแอมเฟตามีนของกลาง จากจังหวัดเชียงใหม่เพื่อนำไปส่งที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยได้รับการว่าจ้างจากนายศรชัย ซึ่งเป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีนของกลาง จึงได้ประสานงานไปยังเจ้าพนักงานตำรวจภูธรภาค 5 และเจ้าหน้าที่ของหน่วยปราบปรามยาเสพติดเพื่อจับกุมตัวนายศรชัย โดยการวางแผนให้จำเลยที่ 1 โทรศัพท์ติดต่อไปยังนายศรชัยหลอกว่า จำเลยที่ 1 ไม่สามารถนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเดินทางต่อไปได้เนื่องจากมีด่านตรวจของเจ้าพนักงานตำรวจโดยจำเลยที่ 1 จะนำเมทแอมเฟตามีนของกลาง ไปคืนที่ห้องพักหมายเลข 503 โรงแรมอาเขตอินน์ที่เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนเปิดและฝากกุญแจห้องไว้กับพนักงานของโรงแรม ต่อมามีจำเลยที่ 2 มาขอกุญแจห้องพักจากพนักงานของโรงแรมและนำไปเปิดประตูห้อง จึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช่นายศรชัย จำเลยที่ 2 ให้การว่า นายศรชัยเป็นผู้ติดต่อให้จำเลยที่ 2 เดินทางมารับเมทแอมเฟตามีนของกลาง ที่ห้องพักของโรงแรม จึงมีการวางแผนเพื่อจับกุมนายศรชัยอีกครั้ง โดยให้จำเลยที่ 2 โทรศัพท์ติดต่อไปยังนายศรชัยและบอกแก่นายศรชัยว่า จำเลยที่ 2 จะไปเปิดห้องพักที่โรงแรมลิตเติ้ลอินน์ เพื่อให้นายศรชัยไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางคืน ต่อมานายศรชัยแจ้งว่าจะให้ญาติซึ่งเป็นน้องชายไปรับเมทแอมเฟตามีนคืน หลังจากนั้นจำเลยที่ 3 เดินทางไปที่ห้องพักหมายเลข 10 ของโรงแรม เจ้าพนักงานตำรวจที่วางกำลังซุ่มดูเหตุการณ์อยู่บริเวณโรงแรม จึงเข้าจับกุมจำเลยที่ 3 ขณะกำลังเคาะประตูห้องพักหมายเลข 10 เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกันโดยตลอด และต่างเป็นข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ ไม่รู้จักจำเลยที่ 2 และที่ 3 มาก่อน ไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะสร้างเรื่องการขยายผลจับกุมนายศรชัย เพื่อกลั่นแกล้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งต่อมาปรากฏว่าสามารถติดตามจับกุมนายศรชัยได้จริงประกอบกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็รับอยู่ว่าถูกจับกุมที่โรงแรมอาเขตอินนท์และโรงแรมลิตเติ้ลอินน์ตามลำดับ เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าจำเลยที่ 2 จะไปหลับนอนกับคนรัก ส่วนจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นน้องของภริยานายศรชัยจะไปพักแรมเพราะเป็นเวลาดึกแล้ว จึงเปลี่ยนใจยังไม่กลับบ้านในคืนเกิดเหตุ อันเป็นข้อกล่าวอ้างลอย ๆ พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่า นายศรชัยถูกเจ้าพนักงานตำรวจวางแผนหลอกให้ไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลาง แต่นายศรชัยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปรับแทนทั้งสองจึงถูกจับกุม อย่างไรก็ดี ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางเพื่อขนกลับไปคืนให้แก่นายศรชัย เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวนมาก จำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมรู้ว่านายศรชัยมีไว้เพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมถือได้ว่ามีเจตนาร่วมกับนายศรชัยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่การที่จำเลยที่ 2 เข้าไปที่โรงแรมอาเขตอินน์ ขอกุญแจห้องพักหมายเลข 503 จากพนักงานของโรงแรมและถูกจับกุมขณะกำลังเปิดประตูห้องพัก ส่วนจำเลยที่ 3 เข้าไปที่โรงแรมลิตเติ้ลอินน์ ขณะกำลังเคาะประตูห้องพักหมายเลข 10 ก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเช่นกัน ถือว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงมือกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว แม้การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะไม่บรรลุผลสำเร็จก็ตาม การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็เข้าขั้นพยายามมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ไม่ใช่เป็นเพียงความผิดฐานสนับสนุนนายศรชัยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52 (1), 80 จำคุกคนละตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์