แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือบอกกล่าวแจ้งความประสงค์ขอชำระหนี้เพื่อไถ่ถอนจำนองของจำเลยที่ 2 กับหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ของโจทก์ ระบุยอดหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องชำระไม่ตรงกัน หากจำเลยที่ 2 ยังประสงค์จะชำระหนี้ในยอดหนี้ที่เห็นว่าถูกต้องตามภาระความรับผิดของตนและเห็นว่ายอดหนี้ที่โจทก์แจ้งมิใช่ยอดหนี้ที่แท้จริง ก็ชอบที่จำเลยที่ 2 จะต้องโต้แย้งไปยังโจทก์โดยแสดงเจตนาขอปฏิบัติการชำระหนี้ที่ถูกต้อง ลำพังหนังสือแจ้งความประสงค์ขอชำระหนี้ดังกล่าว จึงยังถือมิได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้และโจทก์ไม่ยอมรับชำระหนี้อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนอง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 701 , 727 , 744 (3)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญาจำนองแก่โจทก์ ๑,๑๘๓,๐๖๒.๕๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๕๗,๓๒๑.๙๕ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบถ้วน
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารปลอม โจทก์ยื่นฟ้องหลังจากที่นายจรูญ ตัณฑวุฑโฒ ถึงแก่ความตายเกิน ๑ ปี คดีขาดอายุความ จำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งขอชำระหนี้พร้อมไถ่ถอนจำนองไปยังโจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมรับชำระหนี้ จำเลยที่ ๒ จึงหลุดพ้นจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๐๑ จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดไม่เกิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเกินกำหนด ๕ ปี จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์ ๑,๑๘๓,๐๖๒.๕๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๕๗,๓๒๑.๙๕ บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในต้นเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๗ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๓๕ ถึงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕ อัตราร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และอัตราร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๘ จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ ถ้าได้ไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของนายจรูญ ตัณฑวุฑโฒ ขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบถ้วน ทั้งนี้จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกของนายจรูญ ตัณฑวุฑโฒ ที่ตกทอดได้แก่ตน
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์ ๑,๑๘๓,๐๖๒.๕๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๕๗,๓๒๑.๙๕ บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๔๐) จนกว่าจะชำระเสร็จโดยให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดด้วยในต้นเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๓๕ จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้บังคับจำนองยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๓๒๑ ขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแทนถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๑ และของนายจรูญ ตัณฑวุฑโฒ ผู้ตาย ขายทอดตลาดนำเงินมาชำระเท่าจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ แต่ละคนต้องรับผิดตามลำดับ ทั้งนี้จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกของนายจรูญ ตัณฑวุฑโฒ ที่ตกทอดได้แก่ตน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งในชั้นฎีกาฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๒๘ จำเลยที่ ๑ ขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ ต่อมาวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๙ และวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์รวมวงเงินทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยมีนายจรูญ ตัณฑวุฑโฒ เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันในวงเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และนายจรูญได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๓๒๑ มาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันด้วย มีข้อตกลงว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นชำระหนี้จนครบถ้วน ต่อมานายจรูญผู้ค้ำประกันและจดทะเบียนจำนองที่ดินได้ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๒ เป็นบุตรของนายจรูญและเป็นผู้รับมรดกของนายจรูญตามพินัยกรรม
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ ประการแรกว่า จำเลยที่ ๒ หลุดพ้นไม่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์หรือไม่ โดยจำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๒ ได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวไปถึงโจทก์ แจ้งความประสงค์ขอชำระหนี้เพื่อไถ่ถอนจำนอง ขอให้โจทก์คิดคำนวณดอกเบี้ยจากวงเงินค้ำประกัน ๒๕๐,๐๐๐ บาท แล้วแจ้งมายังจำเลยที่ ๒ เพื่อจำเลยที่ ๒ จะได้ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองให้แล้วเสร็จต่อไป แต่โจทก์กลับเพิกเฉย จำเลยที่ ๒ จึงหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองที่นายจรูญทำไว้ต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า ตามหนังสือฉบับลงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๓๘ ซึ่งจำเลยที่ ๒ มีไปยังโจทก์เพื่อขอชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองได้ระบุยอดหนี้ตามสัญญาคือ ๒๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ขอให้โจทก์ตรวจสอบแล้วคำนวณดอกเบี้ยจากยอดเงินดังกล่าว แล้วแจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบภายใน ๑ เดือน เพื่อจำเลยที่ ๒ จะได้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง โดยมิได้ระบุวันที่โจทก์ต้องเริ่มคำนวณดอกเบี้ย ต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้จำนวน ๘๑๙,๖๘๕.๕๔ บาท ระบุเป็นยอดหนี้ ณ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๓๖ จากหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ยอดหนี้ที่แต่ละฝ่ายกล่าวอ้างไม่ตรงกัน และวันที่เริ่มต้นคิดดอกเบี้ยก็ไม่ปรากฏว่าจะเริ่มจากวันใด ตรงกันหรือไม่ ดังนี้ หากจำเลยที่ ๒ ยังประสงค์จะชำระหนี้ในยอดหนี้ที่เห็นว่าถูกต้องตามภาระความรับผิดของตน และเห็นว่ายอดหนี้ที่โจทก์แจ้งมิใช่ยอดหนี้ที่แท้จริง ก็ชอบที่จำเลยที่ ๒ จะต้องโต้แย้งไปยังโจทก์โดยแสดงเจตนาขอปฏิบัติการชำระหนี้ที่ถูกต้องคือยอดหนี้ ๒๕๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ ๑ มีต่อโจทก์เลิกกัน ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๓ แต่จำเลยที่ ๒ หาได้กระทำไม่ ฉะนั้น ลำพังหนังสือดังกล่าวจึงยังถือมิได้ว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และโจทก์ไม่ยอมรับชำระหนี้อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๐๑ , ๗๒๗ และ ๗๔๔ (๓) ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ วินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.