คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3226-3227/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 พูดจาโต้เถียงกันภายในร้านแล้วออกมาที่แคร่ไม้ไผ่หน้าร้าน จำเลยที่ 2 ชักปืนออกมาจ้องปากกระบอกชี้ไปทางจำเลยที่ 1 และพูดว่ามึงแน่ไหม เป็นการท้าทายจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 พูดว่าไม่สู้ และมีผู้ห้ามปรามจนจำเลยที่ 2 เก็บปืนแล้วก็ตาม แต่กิริยาอาการที่จำเลยที่ 2 ชักปืนออกมาเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 2 ยังตั้งใจที่จะวิวาทกับจำเลยที่ 1 ต่อไปอีก การเก็บปืนของจำเลยที่ 2 ไม่ทำให้การทะเลาะวิวาทกับจำเลยที่ 1 ขาดตอนไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1 วิ่งออกไปจากที่ที่ยืนอยู่และยิงมาที่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ยิงโต้ตอบไปทางจำเลยที่ 1 เช่นกัน พฤติการณ์ดังกล่าวตั้งแต่เริ่มแรกแสดงว่าจำเลยที่ 2 สมัครใจที่จะต่อสู้กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จะอ้างว่ากระทำไปโดยป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่ และจำเลยที่ 2 ก็มิใช่ผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลรวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกัน สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองบังอาจกระทำความผิดหลายกระทงต่างวาระกันโดยจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 2 โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกที่ข้อมือซ้ายและข้อเท้าซ้าย ได้รับอันตรายสาหัส และกระสุนปืนที่จำเลยที่ 1 ยิงนั้นได้พลาดไปถูกนายสายรุ้งถึงแก่ความตายทันที และจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 1โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองได้บังอาจเสพสุราจนเป็นเหตุให้เมาประพฤติวุ่นวายในถนนสาธารณะ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 60, 288 ประกอบด้วยมาตรา 80, 378, 90, 91 และริบของกลาง

นางแถวมารดานายสายรุ้งผู้ตายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

สำนวนหลังจำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกกลับเป็นโจทก์ฟ้องนายกำแพงจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงถูกข้อเท้าซ้ายโจทก์ทะลุ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองเสพสุรามึนเมาแล้วใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กัน กระสุนปืนที่จำเลยที่ 1 ยิงไปถูกนายสายรุ้งถึงแก่ความตายจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 1 หลายนัดแต่ไม่ถูกจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ไม่ใช่ผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 60, 288, 80 และ 378 จำเลยที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 และ 378 ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาซึ่งเป็นโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 จำคุก18 ปี และฐานเสพสุรามึนเมาประพฤติวุ่นวายปรับ 200 บาท รวมจำคุก 18 ปีปรับ 200 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น 10 ปี และฐานเสพสุรามึนเมา ประพฤติวุ่นวายปรับ 200 บาท รวมจำคุก 10 ปี 200 บาท ริบของกลางส่วนสำนวนหลังให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลังอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นผู้เสียหายในสำนวนคดีหลัง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เกิดทะเลาะกับจำเลยที่ 1 ในร้านค้า จำเลยที่ 2 ได้ออกจากร้านค้าไปที่แคร่ไม้ไผ่หน้าร้านห่างจากประตูร้านประมาณ 2 วา จำเลยที่ 1 ตามออกไปที่แคร่ จำเลยที่ 2 จึงชักปืนออกมาแล้วถามว่า มึงแน่ไหม จำเลยที่ 1 บอกว่าไม่สู้ พยานโจทก์ได้ห้ามปรามจำเลยที่ 2 ก็เก็บปืน จำเลยที่ 1 วิ่งออกไปทางเหนือแล้วใช้ปืนยิงมาทางจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 จึงยิงโต้ตอบไป และวินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 พูดจาโต้เถียงกันภายในร้านแล้วออกมาที่แคร่ไม้ไผ่หน้าร้าน จำเลยที่ 2 ชักปืนออกมาจ้องปากกระบอกไปทางจำเลยที่ 1 และพูดว่ามึงแน่ไหมเป็นการท้าทายจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 พูดว่าไม่สู้และมีผู้มาห้ามปราม จนจำเลยที่ 2 เก็บปืนแล้วก็ตาม แต่กิริยาอาการที่จำเลยที่ 2 ชักปืนออกมาเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 2ยังตั้งใจที่จะวิวาทกับจำเลยที่ 1 ต่อไปอีก การเก็บปืนของจำเลยที่ 2 ไม่ทำให้การทะเลาะวิวาทกับจำเลยที่ 1 ขาดตอนแต่อย่างใด ขณะที่จำเลยที่ 2 เก็บปืนจำเลยที่ 1 จึงวิ่งออกไปทางทิศเหนือและยิงปืนมาทางจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2ก็ยิงตอบโต้ไปทางจำเลยที่ 1 เช่นเดียวกัน นอกจากนี้เมื่อเกิดยิงกันแล้วจำเลยที่ 2 ได้ไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน จำเลยที่ 2 สลัดลูกโม่แล้วพูดว่า “เย็ดแม่ยิง 6 นัดไม่ถูกเลยปืนแบบนี้ดีแต่เหวี่ยงทิ้ง” โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้พูดว่ากระทำไปเพื่อป้องกันตัวแต่อย่างใด พฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลยที่ 2 เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดว่าสมัครใจที่จะต่อสู้กับจำเลยที่ 1 หาใช่เป็นการกระทำโดยป้องกันตัวไม่จำเลยที่ 2 จึงมิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1

พิพากษายืน

Share