แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมีหน้าที่รับคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการรับโอนมรดกและการซื้อขายที่ดิน ตลอดจนมีหน้าที่เก็บเงินค่าธรรมเนียมแล้วรวบรวมส่งมอบให้เจ้าหน้าที่การเงิน การที่จำเลยรับเงินค่าธรรมเนียมไว้แล้วไม่รวบรวมส่งมอบแก่เจ้าหน้าที่การเงินตามหน้าที่ แต่กลับเบียดบังเอาไว้เป็นของตน จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 กรณีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 นี้ เป็นบทบัญญัติที่เอาผิดแก่เจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานที่เบียดบังเอาทรัพย์ที่ตนได้มา หรือถือเอาไว้เพื่อจัดการตามหน้าที่ มิใช่เอาผิดเฉพาะว่าทรัพย์นั้นจะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของทางราชการหรือของรัฐเท่านั้น
การที่จำเลยปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมโดยมีเจตนาที่จะใช้เป็นหลักฐานในการเบียดบังเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษจำเลยฐานเบียดบังเงินค่าธรรมเนียม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 อันเป็นบทหนักที่สุด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยสองสำนวน ศาลสั่งรวมพิจารณา มีใจความฟ้องทำนองเดียวกันว่า จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการ ๑ สังกัดสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการสอบสวนจัดทำเรื่องมรดก ใบแทน จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินซึ่งต่อเนื่องกับการรับมรดก เสนอเจ้าพนักงานที่ดินลงนามและเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในกิจการงานดังกล่าว แล้วส่งมอบให้เจ้าหน้าที่การเงิน จำเลยได้รับคำขอและจดทะเบียนสิทธินิติกรรม การรับโอนมรดก จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการซื้อขายที่ดิน กรอกรายการในสารบัญหลังโฉนดโดยปลอมลายมือชื่อเจ้าพนักงานที่ดิน และเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนดังกล่าวมาเบียดบังเอาไว้เป็นของตนเอง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗, ๑๕๑, ๑๕๗, ๑๖๑, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๘๓, ๙๑ และให้จำเลยคืนเงินรวม ๒,๑๕๒ บาท แก่สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ กรมที่ดินด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า สำนวนแรกจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๑, ๒๖๔, ๒๖๖ แต่การกระทำฐานเป็นเจ้าพนักงานปลอมแปลงเอกสารและฐานปลอมแปลงเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๖๖ ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก ๔ ปี สำนวนหลังจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๖, ๒๖๘ ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ วรรคสอง จำคุก ๔ ปีรวมจำคุก ๘ ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยทั้งสองสำนวน ๔ ปี คำขออื่นยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗, ๑๕๑ และ ๑๕๗ และขอให้จำเลยคืนเงินรวม ๒,๑๕๒ บาท แก่สำนักงานที่ดินบุรีรัมย์ กรมที่ดิน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗ อีกกระทงหนึ่ง วางโทษจำคุกจำเลยสำนวนละ ๕ ปี รวมเป็น ๑๐ ปีจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก๕ ปี และโทษความผิดฐานปลอมเอกสารอีก ๔ ปี รวมจำคุกจำเลย ๙ ปี ให้จำเลยคืนเงิน ๒,๑๕๒ บาท แก่สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ กรมที่ดิน นอกจากที่ดินให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีหน้าที่รับคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการรับโอนมรดกและการซื้อขายที่ดิน ตลอดจนมีหน้าที่เก็บเงินค่าธรรมเนียมแล้วส่งมอบให้เจ้าหน้าที่การเงิน การที่จำเลยรับเงินค่าธรรมเนียมไว้แล้วไม่ส่งมอบแก่เจ้าหน้าที่การเงินตามหน้าที่ แต่กลับเบียดบังเอาไว้เป็นของตนจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗กรณีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ เป็นบทบัญญัติที่เอาผิดแก่เจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานที่เบียดบังเอาทรัพย์ที่ตนได้มาหรือถือไว้เพื่อจัดการตามหน้าที่ ไม่ใช่เอาผิดเฉพาะว่าทรัพย์นั้นจะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของทางราชการหรือของรัฐเท่านั้น
การที่จำเลยปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมก็โดยมีเจตนาที่จะใช้เป็นหลักฐานในการเบียดบังยักยอกเงินค่าธรรมเนียมรายนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ อันเป็นบทหนัก
พิพากษาแก้เป็นว่า คดีสำนวนแรกจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๖๑, ๒๖๔, ๒๖๖ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ อันเป็นบทหนักที่สุด จำคุก ๕ ปีสำนวนหลังจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗,๒๖๔, ๒๖๖ และ ๒๖๘ แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗อันเป็นบทหนักที่สุด จำคุก ๕ ปี รวมสองสำนวนจำคุก ๑๐ ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยมีกำหนด ๕ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์