คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3223/2554

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 แต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่พอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและไม่ปรากฏว่ายึดอาวุธปืนได้จากจำเลยเป็นของกลาง ศาลฎีกาจึงต้องพิพาทกลับให้ยกฟ้องในความผิดดังกล่าวด้วยเพราะเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกัน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2549 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนสั้นรีวอลเวอร์ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืนขนาด .38 หลายนัด และอาวุธปืนยาวลูกกรดขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืนขนาด .22 ไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด ซึ่งอาวุธปืนทั้งสองกระบอกดังกล่าวไม่มีหมายเลขทะเบียนและเครื่องหมายทะเบียนประจำอาวุธปืนของเจ้าพนักงานประทับไว้ในครอบครองของจำเลยกับพวกโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไปตามถนนและหมู่บ้าน หมู่ที่ 7 ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร อันเป็นเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ทั้งไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนร่วมกันนำอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวยิงนายวั่ง กระสุนปืนถูกบริเวณเหนือขากรรไกรซ้าย ยิงนายอนุชาติหรือน้อย กระสุนปืนถูกบริเวณลิ้นปี่ขวาและที่โหนกแก้ม และยิงนายเอียด กระสุนปืนถูกที่ลำคอและศีรษะ จนเป็นเหตุให้นายวั่ง นายอนุชาติหรือน้อย และนายละเอียดถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 288, 289, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบเศษหัวกระสุนปืน หัวกระสุนปืน ปลอกหัวกระสุนปืน เปลือกหัวกระสุนปืนชิ้นส่วนกระสุนปืน และหัวตะกั่ว ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา นางนุ้ย มารดาของผู้ตายทั้งสามยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วนข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหาย จึงไม่อนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน รวม 3 กระทง แต่ละกระทงให้ประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครอง จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี เมื่อลงโทษประหารชีวิตแล้ว จึงไม่อาจนำโทษอื่นมารวมอีกได้ คงให้ลงโทษประหารชีวิตสถานเดียว ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2549 เวลา 19.30 นาฬิกา ขณะที่นายวั่ง ออกไปนั่งที่หน้าบ้านได้ถูกคนร้ายลอบยิง แต่ไม่ทราบว่าตนเองถูกยิง เข้าใจว่ามีวัตถุเข้าหู จึงร้องเรียกนางอำพาภริยา ซึ่งนั่งดูโทรทัศน์อยู่ภายในบ้านให้ออกไปดู นางอำพาออกไปดูเห็นนายวั่งนั่งอยู่ที่นั่งไม้หน้าบ้าน มีเลือดออกที่ปากและจมูก ส่ายศีรษะไปมา เข้าใจว่ากระดูกหมูอาจติดคอนายวั่ง จึงร้องเรียกนายอนุชาติหรือน้อย ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้กันให้มาช่วย แต่กลัวว่านายอนุชาติไม่ได้ยิน จึงให้เด็กหญิงสาวิตรีบุตรสาววิ่งไปตาม สักครู่นายอนุชาติมาที่บ้านนายวั่งเข้าไปประคองนายวั่งใช้มือล้วงคอ ขณะเดียวกันนายเอียด ก็มาถึงได้ช่วยล้วงคอด้วย ขณะนั้นนายเอียดถูกยิง จึงปล่อยร่างนายวั่ง แล้วรีบเดินเข้าบ้านนายวั่ง นายอนุชาติซึ่งประคองนายวั่งอยู่ตามเข้าไปภายหลัง ระหว่างที่นายอนุชาติกำลังจะปิดประตู คนร้ายยิงนายอนุชาติ 1 นัด นายอนุชาติล้มหงายท้องเข้าไปภายในบ้าน คนร้ายใช้อาวุธปืนสั้นเล็งยิงที่โหนกแก้มซ้ายอีก 1 นัด จากนั้นคนร้ายเดินเข้าไปหานายเอียดภายในบ้านและยิงนายเอียดที่ศีรษะอีก 1 นัด นายวั่งและนายอนุชาติถึงแก่ความตาย ณ ที่เกิดเหตุ ส่วนนายเอียดถึงแก่ความตายขณะนำส่งโรงพยาบาล
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีประจักษ์พยานเบิกความ 2 ปาก คือ นางอำพา ภริยาของนายวั่งและนางสาวประภาพร ภริยาของนายอนุชาติ แต่นางอำพาเบิกความว่า ไม่เห็นหน้าคนร้าย คำเบิกความของนางอำพาจึงไม่อาจยืนยันได้ว่าจำเลยเป็นคนร้าย คงมีแต่นางสาวประภาพรเบิกความว่ามองเห็นหน้าคนร้าย โดยได้ความจำคำเบิกความของนางสาวประภาพรว่า คนร้ายมีรูปร่างผอม สูงประมาณ 165 เซนติเมตร ผมสั้นเกรียนผิวดำแดง ใบหน้าเรียว แก้มตอบ ไม่ใส่เสื้อ ที่คอสวมสร้อยคอลูกประคำขาวดำยาวถึงหน้าอก สวมกางเกงยีน ต่อมาวันรุ่งขึ้นเจ้าพนักงานตำรวจนำรูปผู้ต้องสงสัยให้นางสาวประภาพรดู นางสาวประภาพรได้ชี้รูปจำเลยว่าป็นคนร้าย ตามภาพถ่ายหมาย ร.2 ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ให้นางสาวประภาพรไปชี้ตัวจำเลยซึ่งยืนปะปนอยู่กับคนอื่น นางสาวประภาพรได้ชี้ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้าย ตามภาพถ่ายและบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย ร.5 ถึง ร.9 นอกจากนี้เจ้าพนักงานตำรวจยังให้นางสาวประภาพรชี้สร้อยคอลูกประคำและอาวุธปืนสั้นที่ยึดได้จากจำเลย นางสาวประภาพรชี้ว่าคล้ายกับที่คนร้ายสวมและใช้ยิงในที่เกิดเหตุ ตามภาพถ่ายหมาย ร.10 ถึง ร.12 เช่นนี้ จึงมีปัญหาว่าจะให้รับฟังตามคำเบิกความของนางสาวประภาพรได้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า คำเบิกความของนางสาวประภาพรในชั้นพิจารณาสืบพยานไว้ก่อนกับคำให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสาร ร.27 ได้ระบุถึงลำดับเหตุการณ์ไม่ตรงกันกล่าวคือนางสาวประภาพรเบิกความว่า เมื่อนายอนุชาติล้มหงายท้อง คนร้ายเข้ามาเล็งยิงนายอนุชาติที่โหนกแก้ม แล้วไปยิงนายเอียด จากนั้นคนร้ายจึงเดินเข้ามาหานางสาวประภาพร จ้องปืนเล็งจะยิง นางสาวประภาพรบอกว่าอย่ายิงและก้มหน้า คนร้ายวิ่งออกจากบ้านหลบหนีไป แต่นางสาวประภาพรให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า เมื่อนายอนุชาติล้มลง คนร้ายเข้ามายิงนายอนุชาติอีก 1 นัด แล้วคนร้ายหันปากกระบอกปืนจ้องมาที่นางสาวประภาพร นางสาวประภาพรหมอบลงคนร้ายจึงไม่ยิง คนร้ายเดินไปยิงนายเอียดซึ่งยืนอยู่ในครัว 1 นัด จากนั้นคนร้ายวิ่งหลบหนีออกจากบ้านไป คำเบิกความต่อศาลถึงลำดับเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นที่สงสัยว่านางสาวประภาพรมีเจตนาเพื่อให้ศาลเห็นว่านางสาวประภาพรมีโอกาสเห็นหน้าคนร้ายเป็นเวลานานพอสมควร โดยเห็นในขณะที่คนร้ายยิงนายอนุชาติและนายเอียด หรือเป็นเพราะนางสาวประภาพรจำเหตุการณ์คลาดเคลื่อน อย่างไรก็ดี นางสาวอำพาเบิกความว่า เมื่อนายอนุชาติล้มหงายท้องเข้ามาในบ้านแล้วได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด เหลือบไปเห็นเท้านางสาวประภาพรซึ่งยืนอยู่หน้านางสาวอำพา ได้ยินเสียงนางสาวประภาพรร้องว่า อย่ายิง อย่ายิง คำเบิกความของนางสาวอำพาดังกล่าวสอดคล้องกับที่ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ร.30 ว่า เมื่อนางสาวอำพาได้ยินเสียงนายเอียดร้องว่าถูกยิงแล้ว นางสาวอำพาตกใจ รีบเดินเข้าไปในบ้านอุ้มเด็กหญิงชลธิชามากอดไว้ แล้วไปนั่งอยู่ที่มุมห้องมีนายเอียดเดินเข้ามาเป็นคนที่สอง เมื่อถึงมุมห้องฝั่งตรงข้าม นายเอียดได้เข้ามายืนแอบที่มุมห้อง พร้อมๆ กับนางสาวประภาพรวิ่งตามไปติดๆ เข้าไปยืนใกล้กับที่นางสาวอำพานั่ง ส่วนนายอนุชาติเข้ามาในบ้านเป็นคนสุดท้ายและทำท่าจะปิดประตูบ้าน แต่ปรากฏว่าขณะนายอนุชาติกำลังดึงประตูจะปิดอยู่นั้น พลันมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด แล้วนายอนุชาติกระเด็นลงบนพื้นปูน นางสาวอำพาหันไปมองที่ประตู เห็นผู้ชายเดินเข้ามา เชื่อว่าเป็นคนร้าย แล้วมีเสียงปืนดังขึ้นอีก 1 นัด ได้ยินเสียงนางสาวประภาพรร้องขึ้นว่า อย่ายิง อย่ายิง รู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาในบ้านและได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก 1 นัด เช่นนี้ คำเบิกความของนางสาวอำพาและคำให้การในชั้นสอบสวนของนางสาวอำพาดังกล่าวสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่นางสาวประภาพรให้การต่อพนักงานสอบสวน จึงเชื่อว่าลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามที่นางสาวประภาพรให้การต่อพนักงานสอบสวน ไม่ใช่ลำดับเหตุการณ์ตามที่เบิกความต่อศาล ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นว่านางสาวประภาพรมีโอกาสเห็นหน้าคนร้ายเพียงแว็บเดียว ในขณะที่คนร้ายตามเข้าไปยิงนายอนุชาติที่ล้มเข้าไปในห้อง ซึ่งในขณะนั้นนางสาวประภาพรยืนอยู่ข้างหน้านางสาวอำพาตามภาพถ่ายประกอบคดีหมาย ร.26 อันเป็นทางด้านข้างของคนร้าย เมื่อคนร้ายยิงนายอนุชาติแล้วได้หันปากกระบอกปืนมาทางนางสาวประภาพร ซึ่งนางสาวประภาพรคิดว่าคนร้ายจะยิงตนเองจึงร้องว่า อย่ายิง อย่ายิง แล้วนั่งก้มหน้าลง คนร้ายจึงไปยิงนายเอียดในขณะที่นางสาวประภาพรนั่งอยู่ ซึ่งตามที่แผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย ร.13 จุดหมายเลข 10 และ 11 ได้แสดงบริเวณที่นางสาวอำพาและนางสาวประภาพรนั่งอยู่ในขณะที่คนร้ายยิงนายเอียดที่จุดหมายเลข 3 อันแสดงให้เห็นว่าขณะที่คนร้ายยิงนายเอียดนั้น นางสาวประภาพรไม่มีโอกาสเห็นหน้าคนร้ายเพราะอยู่ด้านหลังคนร้ายและนั่งก้มหน้า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่สงสัยว่านางสาวประภาพรเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนจริงหรือ เพราะอยู่ในอาการตกใจและเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดเวลากลางคืน แม้มีแสงสว่างจากหลอดไฟนีออนสั้นภายในบ้าน 1 หลอดก็ตาม เพราะนางสาวอำพาก็ยังให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ร.30 ว่า หลังจากนายเอียดถูกยิงและนางสาวอำพาเข้ามานั่งอยู่ในบ้านนั้นนางสาวอำพาเหลือบไปมองที่ประตูบ้านเห็นคนร้ายทราบว่าเป็นผู้ชายแต่เห็นไม่ชัดเจน ไม่แน่ใจว่าจะจำคนร้ายได้หรือไม่ การที่นางสาวประภาพรชี้ภาพถ่ายจำเลยว่าเป็นคนร้าย ก็อาจเป็นเพราะว่ารูปร่างหน้าตาจำเลยคล้ายคลึงกับคนร้ายก็ได้ ส่วนเมื่อจับกุมจำเลยมาแล้วนางสาวประภาพรชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องนั้น ก็ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ได้ว่าเป็นการชี้ตัวคนร้ายได้ถูกต้องแท้จริง เพราะนางสาวประภาพรเห็นภาพถ่ายจำเลยมาแล้ว ย่อมต้องชี้บุคคลที่ตนเห็นว่าตรงตามภาพถ่ายอยู่นั่นเองแม้นายลาภ พี่ชายของผู้ตายทั้งสามเคยมีเรื่องกับจำเลยมาก่อน ก็ปรากฏว่าเคยมีเรื่องกันเมื่อประมาณ 3 ปีมาแล้ว แต่ก็ยังปรากฏจากคำเบิกความของนางสาวประภาพรตอบทนายจำเลยถามค้านในชั้นสืบพยานไว้ก่อนว่า ผู้ตายทั้งสามมีสาเหตุโกรธเคืองกับนางน้อยด้วย นอกจากประจักษ์พยานเพียงปากเดียวซึ่งเป็นที่สงสัยอยู่แล้วว่าเห็นคนร้ายได้ชัดเจนหรือไม่ พยานแวดล้อมของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่อาจชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่า จำเลยเป็นคนร้าย เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ทั้งอาวุธปืนที่ยึดได้จากจำเลยและญาติภริยาจำเลย ต่างตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบกับกระสุนปืนและเศษกระสุนปืนแล้ว ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ายิงมาจากอาวุธปืนของกลาง ส่วนสร้อยคอลูกประคำขาวดำที่ยึดได้จากจำเลยก็เป็นสิ่งของที่มีขายอยู่ทั่วไป ประกอบกับจำเลยมีพยานหลักฐานมานำสืบถึงฐานที่อยู่ กรณีจึงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยได้กระทำความผิดหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ไม่อาจที่จะลงโทษจำเลยได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนรวม 3 กระทงนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครอง และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 6 เดือน และ 1 ปี ตามลำดับ และศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน แม้ความผิดทั้งสองฐานนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่พอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหรือไม่ และไม่ปรากฏว่ายึดอาวุธปืนได้จากจำเลยเป็นของกลาง ศาลฎีกาจึงมีอำนาจที่จะยกฟ้องในความผิดฐานนี้ด้วย เพราะเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกันทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225 แต่เศษหัวกระสุนปืน หัวกระสุนปืน ปลอกหัวกระสุนปืน เปลือกหัวกระสุนปืน ชิ้นส่วนหัวกระสุนปืนและหัวตะกั่วของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจึงต้องริบ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ให้ริบของกลาง

Share