แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยนำเงินมาวางต่อศาลภายหลังวันที่ได้ตกลงกันกำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ ได้ชื่อว่าจำเลยผิดนัดแล้ว สิทธิของจำเลยที่จะชำระเงินให้โจทก์ย่อมหมดสิ้นไป โจทก์มีสิทธิ ยึดบ้านพิพาทขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วนที่ได้ตกลง กำหนดเป็นเงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมยอมความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดก ในวันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกันว่า ข้อ 1 จำเลยยอมชำระเงินจำนวน 20,000 บาทให้โจทก์ทั้งสามภายในวันที่ 31 มีนาคม 2524 หากผิดนัดยอมให้บังคับคดีได้ทันที โดยยอมให้ยึดบ้านพิพาทขายทอดตลาดนำเงินแบ่งกันตามส่วน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บังคับตามยอมเสร็จสิ้นไปแล้ว วันที่ 20 เมษายน 2524 โจทก์ยื่นคำขอว่าจำเลยผิดนัด ขอให้ยึดบ้านพิพาท วันที่ 20 พฤษภาคม 2524 จำเลยนำเงินมาวางศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อน วันที่ 27พฤษภาคม 2524 ซึ่งเป็นวันนัดขายทอดตลาด โจทก์ขอให้ขายทรัพย์ที่ยึดไว้ ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยนำเงินมาวางศาลแล้ว ให้งดการขายไว้ก่อน แจ้งให้โจทก์มารับเงินไป ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการขายทอดตลาดต่อไป จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 1 นั้น แม้โจทก์ทั้งสามจะตกลงยินยอมให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ ทั้งสามเป็นเงิน 20,000 บาท เพื่อให้คดีเสร็จไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็ตาม แต่ข้อตกลงดังกล่าวก็มีเงื่อนไขต่อไปว่าหากจำเลยผิดนัด จำเลยยอมให้บังคับคดีได้ทันทีโดยยอมให้ยึดบ้านพิพาทขายทอดตลาดนำเงินแบ่งกันตามส่วน เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนตามที่ยกขึ้นกล่าวไว้ข้างต้นได้ความว่าจำเลยนำเงิน 20,000 บาทมาวางต่อศาลชั้นต้น ภายหลังวันที่ 31 มีนาคม 2524ตามที่ได้ตกลงกันกำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 1 ก็ได้ชื่อว่าจำเลยผิดนัดแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้สิทธิของจำเลยที่จะชำระเงิน 20,000 บาทให้โจทก์ทั้งสามย่อมจะหมดสิ้นไป และโจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดียึดบ้านพิพาทขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วนที่ได้ตกลงกำหนดเป็นเงื่อนไขกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 1 นั้นเอง”
พิพากษายืน