คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3221/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ปลอมลายเซ็นชื่อโจทก์ลงในใบมอบอำนาจร่วมกับลายเซ็นแท้จริงของจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 จัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาททั้งแปลง รวมทั้งส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 รับโอนแล้วได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ดังนี้ การโอนที่พิพาทส่วนของโจทก์ตามลายเซ็นปลอมนั้น ไม่ผูกพันโจทก์ ที่พิพาทอันเป็นส่วนของโจทก์ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่ แต่เมื่อจำเลยที่ 3 ครอบครองที่พิพาทอันเป็นส่วนของโจทก์โดยความสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี โจทก์ได้รู้เห็นแล้วยังคงปล่อยให้จำเลยที่ 3ครอบครองตลอดมา จำเลยที่ 3 ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทส่วนของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่นาโฉนดเลขที่ 6494 ต่อมาจำเลยทั้งสามได้สมคบกัน โดยจำเลยที่ 1 ได้ปลอมลายมือชื่อของโจทก์ลงในช่องผู้มอบอำนาจร่วมกับลายมือแท้จริงของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการทำนิติกรรมสัญญาให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 6494 ดังกล่าวแก่จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 ได้นำใบมอบอำนาจนั้นไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำนิติกรรมสัญญาให้ที่ดิน โดยจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับให้ในโฉนดที่ดินดังกล่าว ขอให้ศาลพิพากษาว่าการจดทะเบียนสัญญาให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 6494 ในส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 3 เป็นโมฆะ ให้เจ้าพนักงานที่ดินถอนชื่อจำเลยที่ 3 ออกแล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในส่วนของโจทก์ตามเดิม

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้กู้เงินนางขำ โดยนำที่นา 3 แปลง รวมทั้งแปลงพิพาทไปประกันเงินกู้ กับขอร้องให้จำเลยที่ 2 เอานาของจำเลยที่ 2 ไปเป็นประกันอีกด้วย ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงขอร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทนภายหลังโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงขายนาพิพาทแก่จำเลยที่ 3และส่งมอบนาพิพาทให้จำเลยที่ 3 เข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของติดต่อกันมาโดยความสงบและเปิดเผยเป็นเวลาเกิน 10 ปี แล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์มิใช่หยิงหม้าย จะฟ้องคดีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสามีหาได้ไม่

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความจำเลยที่ 1 ปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในใบมอบอำนาจให้โอนที่ดิน พิพากษาว่าการจดทะเบียนสัญญาให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 6494 เฉพาะส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 3 เป็นโมฆะ ไม่ผูกพันโจทก์ที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินถอนชื่อจำเลยที่ 3 ออกแล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในส่วนของโจทก์นั้น ไม่อาจบังคับเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ในที่นาพิพาททั้งแปลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แม้คดีนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ขึ้นมา แต่กรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ สมควรให้คำพิพากษานี้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้ปลอมลายเซ็นชื่อโจทก์ลงในใบมอบอำนาจร่วมกับลายเซ็นแท้จริงของจำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 2 มีอำนาจโอนที่พิพาทส่วนของโจทก์รวมทั้งส่วนของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 จัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาททั้งแปลงรวมทั้งส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 3 แล้วจำเลยที่ 3 ได้ครอบครองที่พิพาทมาโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีแล้ว โจทก์ฎีกาโต้เถียงว่าการครอบครองของจำเลยที่ 3 หาใช่เป็นการครอบครองปรปักษ์ไม่ เพราะขณะที่จำเลยที่ 3 ครอบครองนั้น ทรัพย์มิใช่เป็นของโจทก์หากเป็นของจำเลยที่ 3 เอง

ศาลฎีกาเห็นว่า การโอนที่พิพาทส่วนของโจทก์ตามลายเซ็นที่ปลอมนั้นหาผูกพันโจทก์ไม่ที่พิพาทอันเป็นส่วนของโจทก์จึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนของโจทก์อยู่ที่โจทก์ฎีกาว่า ขณะที่จำเลยที่ 3 ครอบครองนั้นที่พิพาทมิใช่ของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้นเมื่อจำเลยที่ 3 ครอบครองที่พิพาทอันเป็นส่วนของโจทก์โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีดังได้วินิจฉัยมาแล้วโจทก์ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลจากที่พิพาทได้รู้เห็นแล้วยังคงปล่อยให้จำเลยที่ 3 ครอบครองตลอดมา จำเลยที่ 3 ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทส่วนของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

พิพากษายืน

Share