แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อมีข้อตกลงกันว่า ถ้า โจทก์ฟ้องคดีให้จำเลยได้เงินจำนวน10 ล้านบาท จำเลยจะต้อง จ่ายเงินค่าจ้างว่าความให้แก่โจทก์จำนวน1 ล้านบาท ภายหลังที่คดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว สิทธิเรียกร้องในค่าว่าจ้างว่าความของโจทก์ก็ย่อมเริ่มนับแต่วันที่จำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวเป็นต้นไป เมื่อนับถึง วันยื่นฟ้องเลยระยะเวลา2 ปี คดีของโจทก์ย่อมขาดอายุความ แม้ก่อนหน้านั้นจำเลยได้ ชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์เป็นเช็ค ซึ่ง เป็นการรับสภาพหนี้ อายุความย่อมสะดุดหยุดลงและเริ่มต้นนับกันใหม่นับแต่วันที่ระบุในเช็คอันเป็นวันที่โจทก์สามารถบังคับตาม สิทธิเรียกร้องได้ เป็นต้นไปแต่ เมื่อนับถึง วันฟ้องก็ล่วงเลยระยะเวลา 2 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
ฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องที่ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระค่าจ้างว่าความที่ค้าง เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ คดีจึงมีประเด็นเพียงว่า จำเลยยังคงค้างชำระค่าจ้างว่าความอยู่จริงหรือไม่ การที่จำเลยฟ้องแย้งขอเรียกทรัพย์คืนโดย อ้างเหตุเนรคุณเป็นคนละเรื่องคนละประเด็น แตกต่าง ไปจากฟ้องเดิมของโจทก์ที่ขอบังคับตาม สัญญาจ้างว่าความ หาได้ เกี่ยวข้องกับสิทธิและหน้าที่ตาม สัญญาที่โจทก์อ้างความผูกพันอันจำเลยจะต้อง รับผิดไม่ หากจำเลยเห็นว่าเงินที่มอบให้โจทก์ไปนั้นความจริงเป็นการให้โดย เสน่หา และการกระทำของโจทก์เป็นการประพฤติเนรคุณ อันเป็นต้นเหตุให้จำเลยมีสิทธิถอนคืนการให้ได้ แล้ว ก็ชอบที่จำเลยจะไปว่ากล่าวเป็นคดีอีกเรื่องหนึ่งต่างหากฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ว่าจ้างโจทก์ให้ว่าความฟ้องของนายวานิช ไชยวรรณ กับพวกเป็นจำเลยและต่อสู้คดีให้ รวม ๑๔ คดี ตกลงค่าจ้างกัน ๑.๐๐๐,๐๐๐ บาท มีเงื่อนไขว่าจะจ่ายค่าจ้างเมื่อคดีถึงที่สุด โดยฝ่ายนายวานิชจ่ายเงินให้ไม่ต่ำกว่า ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าจำเลยแท้ต้องติดคุกและนายวานิชไม่ยอมจ่ายเงิน โจทก์จะไม่ได้รับเงินเลย ในที่สุดจำเลยกับนายวานิชกับพวกตกลงจ่ายเงินให้จำเลย ๑๘,๓๗๕,๐๐๐ บาท และมีการถอนคดีทั้งหมด อันถือว่าโจทก์ทำงานให้จำเลยเสร็จแล้ว จำเลยได้จ่ายค่าจ้างให้โจทก์เพียง ๔๐๐,๐๐๐ บาท คงยังไม่จ่ายอีก ๖๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า ไม่ได้ว่าจ้างโจทก์โดยตกลงค่าจ้าง ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทตามฟ้อง จำเลยที่ ๑ ชำระค่าจ้างเสร็จแล้ว ฟ้องโจทก์เคลือมคลุมและขาดอายุความ เงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ จ่ายให้แก่โจทก์โดยเสน่หา ไม่ใช่ค่าจ้างว่าความ การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยที่ ๑ ทำให้จำเลยที่ ๑ เสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เป็นการประพฤติเนรคุณขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ชำระเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจำชำระเสร็จให้จำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่าจำเลยไม่ได้ว่าจ้างโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลยที่ ๑
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะชำระเสร็จให้จำเลยที่ ๑
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันฟังยุติว่า จำเลยได้รับเงินจำนวน ๑๘ ล้านบาทเศษจากนายวานิช ไชยวรรณ คู่กรณี ตามข้อตกลงประนีประนอมยอมความกันนอกศาล เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๒ ดังนั้นหากมีข้อตกลงกันจริงดังที่โจทก์อ้างว่าจำเลยจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างว่าความให้แก่โจทก์จำนวนหนึ่งล้านบาทภายหลังที่คดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ก็ย่อมเริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวเป็นต้นไป ซึ่งเมื่อนับถึงวันยื่นฟ้องจึงเลยระยะเวลา ๒ ปี คดีโจทก์ย่อมขาดอายุความแล้ว อย่างไรก็ดี โจทก์อ้างว่าหลังจากนั้นจำเลยได้ชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์มาแล้วเป็นบางส่วนจำนวนสี่แสนบาท โดยจ่ายเป็นเช็ค ๒ ฉบับ ฉบับละสองแสนบาท ซึ่งโจทก์ได้รับเงินตามเช็คทั้ง ๒ ฉบับ จำนวนสี่แสนบาทไปเรียบร้อยแล้ว โดยเช็คฉบับแรกลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๒๒ และฉบับหลังลงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๒๒ ปรากฎตามเอกสารหมาย จ.๒๐ และ จ.๙ ตามลำดับ สำหรับเช็คฉบับหลังซึ่งลงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๒๒ นั้น โจทก์เพิ่งมาเรียกเก็บเงินเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๒๓ ปรากฎตามเอกสารหมาย จ.๑๓ ตามพฤติการณ์ของจำเลยเช่นนี้ โจทก์ถือว่าเป็นการรับสภาพหนี้โดยการใช้เงินให้โจทก์บางส่วนอายุความจึงย่อมสะดุดหยุดลงและเริ่มต้นนับอายุความใหม่ ซึ่งนับจากวันที่โจทก์นำเช็คมาเรียกเก็บเงินดังกล่าวจนถึงวันฟ้องยังไม่เกิน ๒ ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความนั้น สำหรับปัญหานี้ปรากฎจากคำเบิกความของโจทก์เองว่าจำเลยนำเช็คมามอบให้โจทก์หลังจากวันที่ลงในเช็คแต่จะเป็นวันใดโจทก์หาได้นำสืบให้ปรากฎไม่ ดังนั้น การที่โจทก์เพิ่งจะหยิบยกเป็นข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาโดยยืนยันว่าจำเลยว่าจำเลยนำเช็คฉบับหลังมามอบให้ในวันเดียวกันที่โจทก์เรียกเก็บเงิน หลังจากที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความไปแล้วเช่นนี้ จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ด้วยเจตนาที่จะให้อายุความขยายออกไปโดยปราศจากพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนให้เชื่อได้ดังกล่าว ดังนั้นเมื่อปรากฎว่าวันที่ระบุในเช็คฉบับหลังเป็นวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๒๒ อันเป็นวันที่โจทก์สามารถบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้แล้ว อายุความที่สะดุดหยุดลงเพราะการรับศสภาพหนี้ของจำเลยจึงต้องเริ่มต้น+ใหม่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งเมื่อนับถึงวันฟ้องย่อมล่วงเลยระยะเวลา ๒ ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว
โจทก์ฎีกาในเรื่องที่เป็นปัญหากฎหมายอีกข้อหนึ่งว่า การที่จำเลยชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์ด้วยเช็คย่อมถือเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๒๑ วรรคสาม จะถือเป็นการชำระหนี้ถูกต้องก็ต่อเมื่อโจทก์เรียกเก็บเงินได้เมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๒๓ อายุความจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนั้น สำหรับปัญหานี้ศาลฎีกาเห็นว่าตามมาตรา ๗๒๑ มิใช่เป็นกรณีเกี่ยวกับการนับอายุความ แต่เป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติให้รู้ว่า ในกรณีที่มีการชำระหนี้อย่างอื่นผิดแยกไปจากที่ได้ตกลงกันไว้เดิมนั้น ให้ถือว่าหนี้จะระงับสิ้นไปในกรณีใดบ้าง การที่โจทก์อ้างมาตรา ๗๒๑ ขึ้นมาแปลความหมายเป็นข้อสนับสนุนฎีกาของโจทก์ในเรื่องอายุความดังกล่าว จึงหาตรงกับประเด็นที่โต้เถียงกันในคดีนี้ไม่สำหรับปัญหาเรื่องฟ้องแย้งศาลฎีกาพิจารณาแล้ว
สำหรับปัญหาเรื่องฟ้องแย้ง ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องที่อขให้ศาลบังคับจำเลยชำระค่าจ้างว่าความที่โจทก์อ้างว่าจำเลยยังติดค้างอยู่อีกบางส่วน เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธคดีจึงมีประเด็นเพียงว่าจำเลยยังคงค้างชำระค่าจ้างว่าความอยู่จริงหรือไม่ การที่จำเลยที่ ๑ ฟ้องแย้งขอเรียกทรัพย์สินโดยอ้าง เหตุเนรคุณดังกล่าว จึงเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นแตกต่างไปจากฟ้องเดิมของโจทก์ที่ขอบังคับตามสัญญาจ้างว่าความ หาได้เกี่ยวข้องกับสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาที่โจทก์อ้างความผูกพันอันจำเลยจะต้องรับผิดไม่ หากจำเลยเห็นว่าเงินที่มอบให้โจทก์ไปนั้น ความจริงเป็นการใช้โดยเสน่หา และการกระทำของโจทก์เป็นการประพฤติเนรคุณอันเป็นต้นเหตุให้จำเลยมีสิทธิถอนคืนการให้ได้แล้ว ก็สอบที่จำเลยจะไปว่ากล่าวเป็นคดีเรื่องหนึ่งต่างหาก ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมของโจทก์ได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น และเมื่อวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอายุความและฟ้องแย้งแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในประเด็นข้ออื่นต่อไปคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลเป็นบางส่วน ฎีกาโจทก์จึงฟังขึ้นเป็นบางส่วน แต่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินจากจำเลยที่ ๑ โดยมิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นการคลาดเคลื่อน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้เสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.