แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีก่อนศาลฎีกาพิพากษาว่า ผู้ร้องได้โอนขายที่ดินพิพาทนี้ให้ผู้คัดค้านไปแล้ว และที่ผู้ร้องอ้างว่าครอบครองปรปักษ์โดยไม่ได้ขายให้ผู้คัดค้านก็เท่ากับเป็นการครอบครองที่ดินของตนเอง ไม่ใช่การครอบครองปรปักษ์ ในคดีหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ โดยผู้ร้องปกปิดไม่ให้ศาลทราบถึงข้อเท็จจริงที่เคยฟ้องผู้คัดค้านไว้ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีก่อน คำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีหลังนี้และคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีก่อนนั้นขัดกัน และต่างก็เป็นคำสั่งหรือคำพิพากษาที่มีผลเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทรายเดียวกัน อันถือว่าเป็นการปฏิบัติชำระหนี้อันแบ่งแยกจากกันมิได้ จึงต้องถือตามคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสูงกว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146
ข้อวินิจฉัยของศาลฎีกาในคดีก่อนดังกล่าวข้างต้น เป็นคำวินิจฉัยในประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์แล้ว
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนายห่วง ต่อมานายห่วงโอนขายให้แก่ผู้ร้อง และในวันเดียวกันนั้นได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์จากผู้ร้องไปเป็นของนายวิเชียร จิระพจชพร โดยผู้ร้องไม่เคยทราบเรื่องมาก่อน ผู้ร้องได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทมาจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์
ต่อมาผู้คัดค้านยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเคยฟ้องผู้คัดค้านเป็นจำเลยต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทแก่ผู้คัดค้าน และพิพากษาว่าผู้ร้อง (โจทก์) ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน คำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีนี้จึงขัดกับคำพิพากษาศาลฎีกาขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีนี้ไม่ผูกพันผู้คัดค้านให้เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครระงับการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนที่ดินพิพาท
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีก่อนคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่า ผู้ร้องได้โอนขายที่ดินพิพาทให้ผู้คัดค้านไปแล้ว ไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะมาขอเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายของผู้คัดค้านได้ และที่ผู้ร้องอ้างว่าครอบครองปรปักษ์โดยไม่ได้ขายก็เท่ากับเป็นการครอบครองที่ดินของตนเอง ไม่ใช่การครอบครองปรปักษ์ ต่อมาผู้ร้องได้มายื่นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทในคดีนี้ ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเดียวกันนั้นอีก โดยอ้างว่าได้มีการจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้ผู้คัดค้านไปโดยผู้ร้องไม่ทราบ และได้ครอบครองปรปักษ์มาเกินสิบปีเช่นเดียวกับที่เคยอ้างในคดีก่อน ศาลชั้นต้นไต่สวนคดีหลังนี้ไปฝ่ายเดียวโดยผู้ร้องปกปิดไม่ให้ศาลทราบข้อเท็จจริงที่เคยฟ้องผู้คัดค้านไว้ แล้วมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ซึ่งเป็นการขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อน คำสั่งศาลชั้นต้นในคดีหลังนี้และคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนนั้นต่างก็เป็นคำสั่งหรือคำพิพากษาที่มีผลเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินในโฉนดพิพาทรายเดียวกันอันถือว่าเป็นการปฏิบัติชำระหนี้อันแบ่งแยกจากกันมิได้ จึงต้องถือตามคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสูงกว่าเป็นหลักตัดสินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146
ที่ผู้ร้องฎีกาว่า คดีก่อนศาลฎีกายังไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์นั้น เห็นว่าในคดีก่อนศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าผู้ร้องไม่มีเจตนาครอบครองปรปักษ์ เพราะผู้ร้องได้ขายที่ดินรายนี้ให้ผู้คัดค้านจริงส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าครอบครองปรปักษ์โดยไม่ได้ขายนั้นก็เท่ากับผู้ร้องว่าครอบครองที่ดินของตนเอง ซึ่งถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกาได้สรุปให้ผู้ร้องเห็นว่าไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะมาอ้างว่าครอบครองปรปักษ์ได้นั่นเอง
พิพากษายืน