คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 322/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภริยาหลวงฟ้องหย่าขาดกับสามีแล้วทำยอมในศาลตกลงหย่าและแบ่งทรัพย์กันด้วยนั้น หากปรากฏว่าขณะทำยอม สามีมีภริยาน้อยอยู่อีกคนหนึ่ง ทรัพย์ที่สามีได้รับส่วนแบ่งมานั้นย่อมตกเป็นสินสมรสระหว่างสามีและภริยาน้อย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ ๔๐ ปีมานี้ นายทุ่ม นางสุด บิดามารดาโจทก์ทั้งสองอยู่กินเกิดทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓ ท้ายฟ้อง ต่อมาเมื่อ ๒๓ ปีมานี้ นายทุ่มนางสุดหย่ากัน ให้ทรัพย์ดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์โดยให้นายทุ่มดูแลครอบครองตลอดมาจนนายทุ่มได้จำเลยที่ ๑ เกิดบุตรด้วยกัน ๖ คน และเกิดทรัพย์อันดับ ๔, ๕, ๖ และเรือนหลังหนึ่ง เมื่อเดือน ๘ พ.ค. ๒๕๐๓ นายทุ่มถึงแก่กรรมมิได้ทำพินัยกรรม ทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓ จึงตกแก่โจทก์ ทรัพย์ดันดับ ๔, ๕, ๖ พร้อมเรือนได้แก่โจทก์และบุตรจำเลยตามส่วนจำเลยไม่ยอม จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยทั้ง ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ มีสินเดิม และเป็นสามีภริยากับนายทุ่มโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อ ๒๕-๒๖ ปีมานี้ ทรัพย์ตามฟ้องเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ ๑ กับนายทุ่ม นายทุ่มไม่ได้ยกทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓ ให้โจทก์ การแบ่งทรัพย์ต้องแบ่งให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะคู่สมรสก่อน ส่วนที่เหลือจึงเป็นมรดกแบ่งออกเป็น ๙ ส่วน ได้แก่โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ ๑ กับบุตร ๖ คน คนละเท่า ๆ กัน
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความรับกันว่านายทุ่มนางสุดได้ทำหนังสือตกลงกันตามสัญญาฉบับลงวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๗๗ จริง ทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓ เป็นทรัพย์ตามสัญญาประนีประนอมลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๘๓ ในคดีแพ่งแดงที่ ๔๔/๒๔๘๓ นายทุ่มมีภริยาเพียง ๒ คน คือ นางสุดกับนางหนู จำเลยที่ ๑ นายทุ่มตายเมื่อเดือน ๘ พ.ค. ๒๕๐๓ โจทก์จำเลยจะขอสืบในข้อที่ว่า จำเลยที่ ๑ กับนายทุ่มเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓ เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ ๑ กับผู้ตายหรือเป็นทรัพย์ของโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่ารูปคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า นายทุ่มนางหนูจำเลยที่ ๑ เป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ จึงเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมาย และทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓ เป็นทรัพย์ที่นายทุ่มได้มาในระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากับนางหนู จึงเป็นสินสมรสระหว่างนายทุ่มนางหนฝูตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๖ จึงพิพากษาให้แบ่งทรัพย์อันดับ ๑ ถึง ๖ ออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่นางหนู ๑ ส่วน อีก ๑ ส่วน เป็นมรดกของนายทุ่ม ตกได้แก่ทายาท ๙ คน คือนางหนู จำเลยที่ ๑ และบุตร ๖ คน กับโจทก์ทั้งสองคนละส่วนเท่ากัน
โจทก์อุทธรณ์ว่า นายทุ่มกับนางหนูไม่เป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย ทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓ ไม่ใช่สินสมรสเอามาแบ่งไม่ถูกต้อง ทรัพย์นอกจากนี้ไม่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นางหนูเป็นภริยานายทุ่มชอบด้วยกฎหมาย ทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓ ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นของโจทก์ แต่เป็นสินสมรสระหว่างนายทุ่มหรือนางหนูหรือไม่นั้น เห็นว่าทรัพย์นี้เป็นทรัพย์ที่นายทุ่มเป็นเจ้าของอยู่แล้วกับนางสุด การที่คนทั้งสองตกลงกันตามสัญญาประนีประนอมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ ว่า ให้ทรัพย์อะไรเป็นของนายทุ่ม ทรัพย์อะไรเป็นของนางสุด ก็เพื่อให้เป็นการเสร็จเด็ดขาดไประหว่างคนทั้งสองที่หย่าขาดกัน ไม่ใช่เป็นทรัพย์ที่นายทุ่มทำมาหาได้เกิดขึ้นใหม่ระหว่างที่อยู่กินกับนางหนู จำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นสินสมรสระหว่างคนทั้งสอง และในระหว่างนายทุ่มกับนางหนูก็ย่อมถือว่าเป็นสินเดิมของนายทุ่ม ไม่ใช่สินสมรสดังศาลชั้นต้นวินิจฉัย จึงพิพากษาแก้ให้แบ่งทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓ เป็น ๙ ส่วน แก่นางหนูกับบุตร ๖ คน และโจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้ง ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓ นายทุ่มเจ้ามรดกได้มาตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับล่งวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๘๓ ในสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๔๔/๒๔๘๓ ซึ่งนางสุด วรรณนิยม เป็นโจทก์ฟ้องขอหย่านายทุ่ม วรรณนิยม จำเลย ซึ่งปรากฏว่าก่อนหน้าที่คนทั้งสองนี้จะได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้น นายทุ่มมีนางหนูจำเลยที่ ๑ เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วอีกคนหนึ่ง ดังนั้น การที่นายทุ่มได้ทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓ มาในระหว่างที่นายทุ่มกับนางหนูจำเลยที่ ๑ เป็นสามีภริยากันอยู่ตามกฎหมาย ทรัพย์ดังกล่าวก็ต้องเป็นสินสมรสระหว่างคนทั้งสองนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๖ และศาลฎีกายังเห็นต่อไปด้วยว่า วรรคท้ายของมาตรานี้บัญญัติไว้ว่า “ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่งหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐายไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส” ซึ่งในเรื่องนี้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดเลยที่จะมาหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นสินเดิมของนายทุ่มนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นชอบด้วย ต้อฝงฟังว่าเป็นสินสมรสระหว่างนายทุ่มกับนางหนูจำเลย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้ บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share