แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ภริยาหลวงฟ้องหย่าขาดกับสามีแล้วทำยอมในศาลตกลงหย่าและแบ่งทรัพย์กันด้วยนั้น หากปรากฏว่าขณะทำยอม สามีมีภริยาน้อยอยู่อีกคนหนึ่ง ทรัพย์ที่สามีได้รับส่วนแบ่งมานั้นย่อมตกเป็นสินสมรสระหว่างสามีและภริยาน้อย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  เมื่อ ๔๐ ปีมานี้  นายทุ่ม  นางสุด  บิดามารดาโจทก์ทั้งสองอยู่กินเกิดทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓  ท้ายฟ้อง  ต่อมาเมื่อ ๒๓ ปีมานี้  นายทุ่มนางสุดหย่ากัน  ให้ทรัพย์ดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์โดยให้นายทุ่มดูแลครอบครองตลอดมาจนนายทุ่มได้จำเลยที่ ๑  เกิดบุตรด้วยกัน ๖ คน  และเกิดทรัพย์อันดับ ๔, ๕, ๖  และเรือนหลังหนึ่ง  เมื่อเดือน ๘ พ.ค. ๒๕๐๓  นายทุ่มถึงแก่กรรมมิได้ทำพินัยกรรม  ทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓  จึงตกแก่โจทก์  ทรัพย์ดันดับ ๔, ๕, ๖  พร้อมเรือนได้แก่โจทก์และบุตรจำเลยตามส่วนจำเลยไม่ยอม  จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยทั้ง ๔ ให้การว่า  จำเลยที่ ๑  มีสินเดิม  และเป็นสามีภริยากับนายทุ่มโดยชอบด้วยกฎหมาย  เมื่อ ๒๕-๒๖ ปีมานี้  ทรัพย์ตามฟ้องเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ ๑  กับนายทุ่ม  นายทุ่มไม่ได้ยกทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓  ให้โจทก์  การแบ่งทรัพย์ต้องแบ่งให้จำเลยที่ ๑  ในฐานะคู่สมรสก่อน  ส่วนที่เหลือจึงเป็นมรดกแบ่งออกเป็น ๙ ส่วน  ได้แก่โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ ๑ กับบุตร ๖ คน  คนละเท่า ๆ กัน
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความรับกันว่านายทุ่มนางสุดได้ทำหนังสือตกลงกันตามสัญญาฉบับลงวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๗๗  จริง  ทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓  เป็นทรัพย์ตามสัญญาประนีประนอมลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๘๓  ในคดีแพ่งแดงที่ ๔๔/๒๔๘๓   นายทุ่มมีภริยาเพียง ๒ คน  คือ  นางสุดกับนางหนู  จำเลยที่ ๑  นายทุ่มตายเมื่อเดือน ๘ พ.ค. ๒๕๐๓  โจทก์จำเลยจะขอสืบในข้อที่ว่า  จำเลยที่ ๑ กับนายทุ่มเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  และทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓  เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ ๑  กับผู้ตายหรือเป็นทรัพย์ของโจทก์  ศาลชั้นต้นเห็นว่ารูปคดีพอวินิจฉัยได้  ให้งดสืบพยาน  แล้ววินิจฉัยว่า  นายทุ่มนางหนูจำเลยที่ ๑  เป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕  จึงเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมาย  และทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓  เป็นทรัพย์ที่นายทุ่มได้มาในระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากับนางหนู  จึงเป็นสินสมรสระหว่างนายทุ่มนางหนฝูตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๖  จึงพิพากษาให้แบ่งทรัพย์อันดับ ๑ ถึง ๖  ออกเป็น ๒ ส่วน  ได้แก่นางหนู ๑ ส่วน อีก ๑ ส่วน  เป็นมรดกของนายทุ่ม  ตกได้แก่ทายาท ๙ คน  คือนางหนู จำเลยที่ ๑  และบุตร ๖ คน กับโจทก์ทั้งสองคนละส่วนเท่ากัน
โจทก์อุทธรณ์ว่า  นายทุ่มกับนางหนูไม่เป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย  ทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓  ไม่ใช่สินสมรสเอามาแบ่งไม่ถูกต้อง  ทรัพย์นอกจากนี้ไม่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  นางหนูเป็นภริยานายทุ่มชอบด้วยกฎหมาย  ทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓  ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นของโจทก์  แต่เป็นสินสมรสระหว่างนายทุ่มหรือนางหนูหรือไม่นั้น  เห็นว่าทรัพย์นี้เป็นทรัพย์ที่นายทุ่มเป็นเจ้าของอยู่แล้วกับนางสุด  การที่คนทั้งสองตกลงกันตามสัญญาประนีประนอมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓  ว่า  ให้ทรัพย์อะไรเป็นของนายทุ่ม  ทรัพย์อะไรเป็นของนางสุด  ก็เพื่อให้เป็นการเสร็จเด็ดขาดไประหว่างคนทั้งสองที่หย่าขาดกัน  ไม่ใช่เป็นทรัพย์ที่นายทุ่มทำมาหาได้เกิดขึ้นใหม่ระหว่างที่อยู่กินกับนางหนู จำเลยที่ ๑  จึงไม่เป็นสินสมรสระหว่างคนทั้งสอง  และในระหว่างนายทุ่มกับนางหนูก็ย่อมถือว่าเป็นสินเดิมของนายทุ่ม  ไม่ใช่สินสมรสดังศาลชั้นต้นวินิจฉัย  จึงพิพากษาแก้ให้แบ่งทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓  เป็น ๙ ส่วน  แก่นางหนูกับบุตร ๖ คน  และโจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้ง ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓  นายทุ่มเจ้ามรดกได้มาตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับล่งวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๘๓  ในสำนวนคดีแพ่งแดงที่  ๔๔/๒๔๘๓  ซึ่งนางสุด  วรรณนิยม  เป็นโจทก์ฟ้องขอหย่านายทุ่ม  วรรณนิยม  จำเลย  ซึ่งปรากฏว่าก่อนหน้าที่คนทั้งสองนี้จะได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้น  นายทุ่มมีนางหนูจำเลยที่ ๑  เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วอีกคนหนึ่ง  ดังนั้น  การที่นายทุ่มได้ทรัพย์อันดับ ๑, ๒, ๓  มาในระหว่างที่นายทุ่มกับนางหนูจำเลยที่ ๑ เป็นสามีภริยากันอยู่ตามกฎหมาย  ทรัพย์ดังกล่าวก็ต้องเป็นสินสมรสระหว่างคนทั้งสองนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๖  และศาลฎีกายังเห็นต่อไปด้วยว่า  วรรคท้ายของมาตรานี้บัญญัติไว้ว่า  “ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่งหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่  ให้สันนิษฐายไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส”  ซึ่งในเรื่องนี้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดเลยที่จะมาหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวได้  ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นสินเดิมของนายทุ่มนั้น  ศาลฎีกาไม่เห็นชอบด้วย  ต้อฝงฟังว่าเป็นสินสมรสระหว่างนายทุ่มกับนางหนูจำเลย  ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้  บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

