คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3219/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่2ตุลาคม2533ไม่ปรากฎว่ามีคู่ความฝ่ายใดฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีจึงยังไม่ได้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลใดต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังใหม่ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ในวันที่26พฤษภาคม2535ซึ่งโจทก์ได้ยื่นฎีกาวันที่15มิถุนายน2535คำสั่งของศาลชั้นต้นในวันที่26พฤษภาคม2535จึงเป็นคำสั่งภายหลังที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาและเป็นคำสั่งตามคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังซึ่งศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนเสร็จแล้วจึงไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาที่คู่ความจะต้องโต้แย้งไว้เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปแต่อย่างใด ขณะส่งหมายนัดให้ทนายโจทก์โดยวิธีปิดหมายนัดสำนักงานทนายความของทนายโจทก์ย้ายไปแล้วการปิดหมายดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์และจำเลยทั้งหกร่วมกันไปแบ่งแยกที่ดินโฉนดพิพาท แก่จำเลยทั้งหก หากฝ่ายใดไม่ยอมไปจดทะเบียนแบ่งแยกให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาโดยวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฝ่ายโจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังฝ่ายโจทก์ และถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
โจทก์ยื่นคำร้อง โจทก์และทนายโจทก์ไม่จงใจไม่มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพราะโจทก์ปลดทนายโจทก์ไม่ได้รับหมายนัดของศาลเนื่องจากทนายโจทก์ย้ายสำนักงานไปตั้งแต่ปี 2529 แล้ว ครั้งสุดท้ายได้ย้ายไปอยู่ เลขที่ 558 หมู่บ้านอัมรินทร์นิเวศน์ 2ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานครจนเมื่อพนักงานเดิมหมายซึ่งนำหมายนัดไปส่งให้ทนายโจทก์ที่สำนักงานเดิมก็รายงานว่า ส่งหมายนัดแก่ทนายโจทก์ที่สำนักงานเลขที่ 111-3ถนนประชาธิปไตย แขววงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานครไม่พบทนายโจทก์และสำนักงานทนายโจทก์ สอบถามผู้อยู่ตามบ้านเลขที่ดังกล่าวได้ความว่าสำนักงานทนายโจทก์ได้ย้ายไปนานแล้ว จึงปิดหมายไว้ที่สำนักงานเดิมดังกล่าวโดยทนายโจทก์เข้าใจว่าได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ให้ศาลทราบแล้ว ขอให้ศาลอนุญาตให้โจทก์ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งงดการไต่สวนคำร้องและยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออนุญาตฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ของทนายโจทก์ลงวันที่ 15พฤศจิกายน 2533 แล้วมีคำสั่งตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องขออนุญาตฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ของโจทก์แล้วมีคำสั่งว่า การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่ทนายโจทก์ในวันที่ 3 กันยายน 2533 แม้จะปิดหมายนัด ณ บ้านเลขที่111-3 ถนนประชาธิปไตย แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานครตรงตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในคำแก้อุทธรณ์ของทนายโจทก์ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ทนายโจทก์ได้ย้ายสำนักงานไปภายหลังจากที่ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาลในวันที่ 6 มกราคม 2529 เป็นเวลานานแล้ว พฤติการณ์เช่นนี้จะถือว่าทนายโจทก์จงใจไม่มาฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เสียเลยก็ยังไม่ถนัดเมื่อทนายโจทก์ไม่สามารถทราบวันนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ตามหมายนัดที่ปิดไว้ ณ บ้านเลขที่เดิมซึ่งทนายโจทก์ได้ย้ายสำนักงานไปนายแล้วเช่นนั้น กรณีจึงมีเหตุสมควรที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้ถือว่าโจทก์ได้ฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้วในวันนั้น(26 พฤษภาคม 2535) จึงให้ลงลายมื่อชื่อไว้เป็นสำคัญ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2533 ไม่ปรากฎว่ามีคู่ความฝ่ายใดฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีจึงยังไม่ได้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลใดต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังใหม่ ศาลชั้นต้นสวนแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2535 ซึ่งโจทก์ได้ยื่นฎีกาวันที่15 มิถุนายน 2535 ฉะนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นในวันที่ 26 พฤษภาคม2535 จึงเป็นคำสั่งภายหลังที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษา และเป็นคำสั่งตามคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังซึ่งศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนเสร็จแล้วจึงไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาที่คู่ความจะต้องโต้แย้งไว้เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปแต่อย่างใด การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฝ่ายจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2535 ไว้ ปัญหาเรื่องการส่งหมายชอบหรือไม่ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้วพิพากษายกอุทธรณ์จำเลยมานั้นจึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อปรากฎว่าพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ แต่เห็นสมควรวินิจฉัยคดีไปเสียทีเดียว ได้ความว่าทนายโจทก์ได้ย้ายสำนักงานจากบ้านเลขที่111-3 เดิม ไปอยู่เลขที่ 99/8 ตั้งแต่ปี 2529 ต่อมาปลายปี 2530ย้ายไปอยู่อาคารเลขที่ 225 หมู่ที่ 4 แขวงคลองเตย เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร และครั้งสุดท้ายไปย้ายไปอยู่เลขที่ 558 หมู่บ้านอัมรินทร์นิเวศน์ 2 ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิกรุงเทพมหานคร และเมื่อเจ้าพนักงานเดินหมายนำหมายนัดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปส่งให้ทนายโจทก์ที่สำนักงานเดิม เมื่อวันที่ 5 กันยายน2533 ได้รายงานว่า ไม่พบทนายโจทก์พบแต่หญิงอายุประมาณ 24 ปีแจ้งว่าทนายโจทก์ได้ย้ายไปนานแล้ว จึงปิดหมายไว้ที่หน้าประตูซึ่งเป็นตึกแถวและห้องอาหารนัดพบ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ขณะปิดหมายนัดสำนักงานทนายความของทนายโจทก์ไม่ได้ตั้งอยู่ที่เลขที่ 111-3ถนนประชาธิปไตย แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานครแล้ว การปิดหมายดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share