แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยนำรถวิ่งรับคนโดยสารทับเส้นทางของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย และสั่งห้ามจำเลยและบริวารมิให้กระทำเช่นนั้น ซึ่งต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยและบริวารจะไม่กระทำการดังกล่าว หากฝ่าฝืนจำเลยยอมชดใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ดังนี้ มิใช่คดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ประเภทฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 (1) อันจะใช้บังคับจลอดถึงบริวารจองจำเลยด้วย คำพิพากษาตามยอมคดีนี้จึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามมาตรา 145 เท่านั้น หามีผลบังคับถึงบริวารจำเลยไม่ แม้ผู้ร้องเป็นบริวารจำเลยปฏิบัติฝ่าฝืนสัญญาประนีประนอมยอมความก็ไม่อาจบังคับคดีเอากับผู้ร้องได้ จึงไม่อาจกักขังผู้ร้องไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน อ.ด.๐๗๘๗๖ และ อ.ด.๐๘๓๒๑ นำรถยนต์ ๒ คันดังกล่าวเข้าวิ่งรับคนโดยสารบนเส้นทางจากอำเภอเพ็ญถึงอุดรธานี ซึ่งโจทก์แต่ผู้เดียวมีสิทธิประกอบการขนส่งประทำทางขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย และสั่งห้ามจำเลยและบริวารมิให้นำรถยนต์ของจำเลยเข้าวิ่งรับส่งคนโดยสารบนเส้นทางดังกล่าว ซึ่งต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ความว่าจำเลยและบริวารจะไม่นำรถยนต์ของจำเลย ๒ คันข้างต้นเข้าวิ่งรับส่งคนโดยสารบนเส้นทางของโจทก์ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๑๖ เป็นต้นไป ถ้าจำเลยและบริวารฝ่าฝืนจำเลยยอมเสียค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์วันละ ๒๐๐ บาทต่อรถ ๑ คัน จนกว่าจะหยุดวิ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปตามยอม
วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๑๘ โจทก์ยื่นคำร้องว่า ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๑๗ นางสุมาลีผู้ร้องซึ่งเป็นภรรยาจำเลยนำรถยนต์หมายเลขทะเบียน อ.ด.๐๗๘๗๖ เข้าวิ่งบนเส้นทางของโจทก์ ขอให้บังคับคดีเอากับจำเลย วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๘ โจทก์จำเลยยื่นคำร้องร่วมกันจำเลยว่าได้หย่าขาดกับผู้ร้องแล้ว ขอให้โจทก์บังคับคดีเอากับผู้ร้อง
วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๒๑ โจทก์ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องยังคงนำรถยนต์วิ่งบนเส้นทางสายพิพาท ขอให้ออกหมายจับผู้ร้องมากักขังจนกว่าจะไม่ละเมิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ป.สร้างคอมเดินรถ จำกัด โดยนำรถยนต์หมายเลขทะเบียน อ.ด. ๐๗๘๗๖ ตีราคาชำระค่าหุ้นและเป็นกรรมการของบริษัท รถดังกล่าวยังวิ่งอยู่บนเส้นทางสัมปทานของโจทก์ผู้ร้องอยู่ในฐานะบริวารจำเลยสามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาได้หากกระทำการโดยสุจริต ให้หมายขังผู้ร้องไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษา แต่ไม่เกิน ๑ ปี
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาว่าคำพิพากษาตามยอมคดีนี้มีผลบังคับถึงบริวารของจำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้มิใช่คดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ประเภทฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย ดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๑) อันจะใช้บังคับตลอดถึงบริวารของจำเลย ทั้งตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็มีข้อความแสดงไว้ชัดว่า จำเลยเท่านั้นที่เป็นผู้รับผิดต่อโจทก์ ดังนั้น คำพิพากษาตามยอมคดีนี้จึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามมาตรา ๑๔๕ เท่านั้น หามีผลบังคับถึงบริวารของจำเลยไม่ แม้ศาลชั้นต้นจะฟังว่าผู้ร้องเป็นบริวาร จำเลยปฏิบัติฝ่าฝืนสัญญาประนีประนอมยอมความก็ไม่อาจบังคับคดีเอากับผู้ร้องได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นชอบแล้ว
พิพากษายืน.