คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3215/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เป็นผู้ตกลงกับจำเลยที่ 1 ที่จะทำการขนส่งและรับทำการขนส่งสินค้าแทนจำเลยที่ 1 ตลอดเส้นทางจากท่าเรือสิงคโปร์มายังท่าเรือกรุงเทพ จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ขนส่งอื่น ซึ่งต้องร่วมรับผิดในความสูญหายของสินค้ากับจำเลยที่ 1 ผู้ขนส่ง
จำเลยที่ 4 เข้ามาเกี่ยวข้องกับการขนส่งด้วยการทำหน้าที่แทนจำเลยที่ 1 ในการทำหนังสือกับจำเลยที่ 3 เพื่อเปลี่ยนเงื่อนไขในการขนส่งที่ท่าเรือปลายทางกับรับค่าระวางและเจรจาเรื่องค่าเสียหายแทน ลำพังการดำเนินการดังกล่าวของจำเลยที่ 4 คงเข้าลักษณะเพียงเป็นตัวแทนของผู้ขนส่งเกี่ยวกับการดำเนินการที่ท่าเรือปลายทางแทนผู้ขนส่งเท่านั้น ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่ 1 หรือผู้ขนส่งอื่น
ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่ว่าผู้ส่งบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าไม่ครบหรือสินค้าสูญหายไปในระหว่างบรรจุสินค้าที่ท่าเรือต้นทาง เป็นเรื่องที่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นกล่าวอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 52 (9) จำเลยที่ 2 จึงมีภาระการพิสูจน์ให้ได้ความดังกล่าว
ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 58 ผู้ขนส่งจำกัดความรับผิดได้ 10,000 บาท ต่อหนึ่งหน่วยการขนส่ง เมื่อสินค้าสูญหายไป 50 ชุด จึงเท่ากับว่าค่าเสียหายที่โจทก์จะเรียกร้องได้ คือ ไม่เกิน 500,000 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538 โจทก์ได้รับประกันภัยสินค้าเครื่องรับโทรทัศน์สีไว้จากบริษัทซันคัลเลอร์ จำกัด จำนวน 510 ชุด โดยผู้ส่งสินค้าที่ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ทำการขนส่งสินค้า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นผู้ร่วมขนส่งสินค้าดังกล่าวทางทะเลโดยเรือปิยะภูมิจากประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์มายังกรุงเทพมหานคร ปรากฏว่าในระหว่างขนส่งเครื่องรับโทรทัศน์สีสูญหายไป 50 ชุด คิดเป็นค่าเสียหายที่เอาประกันไว้เป็นเงิน 243,657.93 บาท ผู้รับตราส่งเรียกให้จำเลยทั้งสี่ส่งมอบสินค้าและชดใช้ค่าเสียหาย แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยและเป็นผู้รับช่วงสิทธิตามกฎหมาย โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 247,362.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 243,657.93 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์มิได้รับประกันภัยสินค้าพิพาท และมิได้รับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 2 เป็นเพียงเจ้าของเรือที่ให้บริษัทอาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) เช่าไปขนส่งสินค้า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มิได้เป็นผู้ขนส่งหรือร่วมขนส่งสินค้าพิพาท จำเลยที่ 2 กระทำการในฐานะตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 เพื่ออำนวยความสะดวกในธุรกิจของจำเลยที่ 1 ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยเท่านั้น สินค้าพิพาทมิได้สูญหายระหว่างขนส่ง หรืออยู่ในความครอบครองดูแลของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 247,362.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 243,657.93 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 12,000 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ 2 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า บริษัท ซันคัลเลอร์ จำกัด ผู้ซื้อ สั่งซื้อเครื่องรับโทรทัศน์สีจากบริษัทอเมเจอร์ โฟโต้ สโตร์ พีทีอี จำกัด ผู้ขาย ที่ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ จำนวน 510 เครื่อง ผู้ขายว่าจ้างจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งเพื่อขนสินค้าดังกล่าวทางทะเลจากประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์มายังประเทศไทย ในรูปแบบการขนส่ง แบบสิงคโปร์ ซีวาย กรุงเทพ ซีวาย ตามใบตราส่งเอกสารหมาย จ.7 หรือ ล.43 ซึ่งเป็นแบบฟอร์มใบตราส่งของจำเลยที่ 1 ในชื่อ “ACTLINK CONTAINER LINES” และระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่ง ผู้ขายเป็นผู้ส่งและผู้ซื้อเป็นผู้ได้รับแจ้งการมาถึงของเรือ จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างให้ผู้ขนส่งอื่นทำการขนส่งสินค้าให้แทน ซึ่งผู้ขนส่งอื่นก็ได้ตกลงรับขนสินค้าให้และออกใบตราส่งให้แก่จำเลยที่ 1 ระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ส่ง ตามใบตราส่งเอกสารหมาย จ.14 หรือ ล.12 ทั้งใบตราส่งเอกสารหมาย จ.7 หรือ ล.43 และใบตราส่งเอกสารหมาย จ.14 หรือ ล.12 ต่างก็ระบุถึงสินค้าไว้ว่า 510 ชุด และระบุหมายเลขตู้สินค้าและหมายเลขตรงตราผนึกไว้ตรงกัน คือ ตู้สินค้า หมายเลข อาร์ อี จี ยู 4936300 ดวงตราผนึกหมายเลข 113008 เส้นทางที่ใช้ขนส่ง คือ จากท่าเรือสิงคโปร์มายังท่าเรือกรุงเทพ เรือที่ใช้ในการขนส่งสินค้าคือเรือปิยะภูมิซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2 เรือปิยะภูมิเดินทางถึงท่าเรือกรุงเทพเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2538 ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 23 มิถุนายน 2538 จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นตัวแทนเรือของจำเลยที่ 1 ผู้ขนส่งกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นตัวแทนเรือของผู้ขนส่งอื่นทำหนังสือเพื่อเปลี่ยนเงื่อนไขในการขนส่งที่ท่าเรือปลายทางจากรูปแบบการขนส่ง แบบ ซีวาย หรือ เอฟ ซี แอล เป็นแบบ แอล ซี แอล ตามเอกสารหมาย จ.10 เมื่อเรือปิยะภูมิเดินทางถึงท่าเรือกรุงเทพแล้วได้มีการยกตู้สินค้าบรรจุสินค้าขึ้นจากเรือวางไว้ที่หน้าท่าเรือในวันเดียวกัน ต่อมาวันที่ 26 มิถุนายน 2538 จึงได้มีการเปิดตู้สินค้า เพื่อนำสินค้าเข้าเก็บรักษาในโกดังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย มีผู้เกี่ยวข้อง คือ ตัวแทนเรือ และเจ้าหน้าที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย ปรากฏว่าหมายเลขตู้สินค้าในขณะนั้นคือหมายเลข อาร์ อี จี ยู 4936300 แต่ดวงตราผนึกไม่ใช่หมายเลข 113008 กลับกลายเป็นหมายเลข 817334 และสินค้าเครื่องรับโทรทัศน์สีขนาด 14 นิ้ว ขาดหายไปจำนวน 50 เครื่อง ตามเอกสารของการท่าเรือแห่งประเทศไทยแสดงรายการสินค้าขาดและเกินจากบัญชีสินค้าเรือหมาย จ.11 เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าครั้งพิพาทนี้ จำเลยที่ 4 ได้ทำหน้าที่รับชำระค่าระวางเรือและเจรจาเรื่องค่าเสียหายแทนจำเลยที่ 1 ด้วย ส่วนโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยความเสียหายสูญหายของสินค้าไว้จากผู้ส่งและได้ชดใช้ค่าเสียหายจากการที่สินค้าสูญหายให้แก่ผู้ส่งไปแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2 คือผู้ขนส่งอื่นที่รับขนส่งสินค้าครั้งพิพาทหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติแล้วว่าหลังจากที่จำเลยที่ 1 ตกลงรับขนส่งสินค้าให้แก่ผู้ส่งแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างให้ผู้ขนส่งอื่นทำการขนส่งสินค้าให้แทน ซึ่งผู้ขนส่งอื่นก็ตกลงรับขนสินค้าให้และได้ออกใบตราส่งให้แก่จำเลยที่ 1 ตามใบตราส่งเอกสารหมาย จ.14 หรือ ล.12 จากนั้นผู้ขนส่งอื่นก็ได้ใช้เรือปิยะภูมิทำการขนส่งสินค้าจากท่าเรือสิงคโปร์จนมาถึงท่าเรือกรุงเทพ เมื่อปรากฏตามใบตราส่งเอกสารหมาย จ.14 หรือ ล.12 ว่า ผู้ขนส่งอื่นที่เป็นผู้ประกอบการขนส่งและรับทำการขนส่งครั้งพิพาทแสดงออกที่มุมบนด้านขวาของใบตราส่งต่อลูกค้าที่มาว่าจ้างว่า ตนมีชื่อว่า Regional Container Lines หรือใช้ชื่อย่อว่า RCL ที่มุมล่างด้านขวาของใบตราส่งในช่องที่ผู้ขนส่งต้องลงนามก็ระบุชื่อของผู้ขนส่งว่า Regional Container Lines ตามหนังสือรับรองความเป็นเจ้าของเรือปิยะภูมิเอกสารหมาย ล.1 ที่ทางการสิงคโปร์เป็นผู้ออกในช่องชื่อของเจ้าของเรือปิยะภูมิก็ระบุไว้ว่า Regional Container Lines เพียงแต่มีคำว่า Private Limited ต่อท้ายเข้ามาด้วย ซึ่งคำว่า Private Limited ที่ต่อท้ายเข้ามานั้นก็น่าจะมีความหมายเพิ่มเติมเพียงว่า ผู้ประกอบการที่ใช้ชื่อในการประกอบการว่า Regional Container Lines ซึ่งเป็นเจ้าของเรือปิยะภูมินั้น ในขณะมีการออกหนังสือรับรองดังกล่าวมีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทเอกชนจำกัด พฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่า Regional Container Lines หรือ RCL หรือ Regional Container Lines Private Limited เป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่ก็ประกอบกิจการและรับผลประโยชน์ร่วมกัน และเป็นผู้ที่รับดำเนินการขนส่งสินค้าทางทะเลครั้งพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 จึงเท่ากับว่าจำเลยที่ 2 ตามชื่อในคำฟ้องที่สะกดเป็นภาษาไทยว่า “บริษัทรีจันนัล คอนเทนเนอร์ไลน์ส หรือเรเจียนนัล คอนเทนเนอร์ไลน์ส พีทีอี จำกัด” นั้น เป็นผู้ตกลงกับจำเลยที่ 1 ที่จะทำการขนส่งและรับทำการขนส่งสินค้าแทนจำเลยที่ 1 ตลอดเส้นทางจากท่าเรือสิงคโปร์มายังท่าเรือกรุงเทพ จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ขนส่งอื่น ซึ่งต้องร่วมกันรับผิดในความสูญหายของสินค้าร่วมกับจำเลยที่ 1 ผู้ขนส่ง อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่งครั้งพิพาททั้งในฐานะผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นเพราะจำเลยชื่อ Regional Container Lines Private Limited จึงฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 4 ว่า จำเลยที่ 4 เป็นผู้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานใดที่นำสืบพิสูจน์ได้ว่า นอกจากการที่จำเลยที่ 4 เข้ามาเกี่ยวข้องกับการขนส่งในครั้งพิพาทนี้ด้วยการทำหน้าที่แทนจำเลยที่ 1 ในการทำหนังสือกับจำเลยที่ 3 เพื่อเปลี่ยนเงื่อนไขในการขนส่งที่ท่าเรือปลายทางจากรูปแบบการขนส่ง แบบ ซีวาย/ซีวายเป็นระบบ แอล ซี แอล กับรับค่าระวางและเจรจาเรื่องค่าเสียหายแทนแล้ว จำเลยที่ 4 ได้ทำหน้าที่อื่นที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าครั้งพิพาทอย่างไร ลำพังการดำเนินการดังกล่าวของจำเลยที่ 4 นั้น คงเข้าลักษณะเพียงตัวแทนของผู้ขนส่งที่เกี่ยวกับการดำเนินการที่ท่าเรือปลายทางแทนผู้ขนส่งเท่านั้นไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่ 1 หรือผู้ขนส่งอื่น ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 4 ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า สินค้าได้รับความเสียหายระหว่างการขนส่งหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันที่ 23 มิถุนายน 2538 ก่อนที่เรือปิยะภูมิจะเดินทางมาถึงท่าเรือปลายทาง จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นตัวแทนเรือของจำเลยที่ 1 ผู้ขนส่งกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นตัวแทนเรือของจำเลยที่ 2 ผู้ขนส่งอื่นทำหนังสือเพื่อเปลี่ยนเงื่อนไขในการขนส่งที่ท่าเรือปลายทางจากรูปแบบการขนส่ง แบบ ซีวาย หรือ เอฟ ซี แอล เป็นระบบ แอล ซี แอล ตามเอกสารหมาย จ.10 จากนั้นในวันที่ 26 มิถุนายน 2548 จึงได้มีการเปิดตู้สินค้าเพื่อนำสินค้าเข้าเก็บรักษาในโกดังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ปรากฏว่าหมายเลขตู้สินค้าในขณะเปิดตู้สินค้าคือหมายเลข อาร์ อี จี ยู 4936300 แต่ดวงตราผนึกไม่ใช่หมายเลข 113008 ดังที่มีการปิดไว้ที่ท่าเรือต้นทาง กลับกลายเป็นหมายเลข 817334 เมื่อมีการตรวจนับสินค้าภายในตู้สินค้าโดยมีทั้งตัวแทนเรือและเจ้าหน้าที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นสักขีพยาน ปรากฏว่าสินค้าเครื่องรับโทรทัศน์สีขนาด 14 นิ้ว ขาดหายไปจำนวน 50 เครื่อง ตามเอกสารของการท่าเรือแห่งประเทศไทยแสดงรายการสินค้าขาดและเกินจากบัญชีสินค้าเรือหมาย จ.11 โดยที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ขนส่งและจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ขนส่งอื่น ไม่ได้มีพยานหลักฐานอื่นใดที่จะแสดงให้เห็นได้ว่า เหตุใดในระหว่างการขนส่งสินค้าจากท่าเรือสิงคโปร์จนถึงเวลาที่เปิดผนึกและตรวจนับสินค้าโดยมีสักขีพยานดังกล่าวซึ่งถือเป็นเวลาก่อนเวลาที่มีการส่งมอบสินค้าที่ท่าเรือกรุงเทพตามรูปแบบ แอล ซี แอล ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ถือว่าสินค้ายังอยู่ในความดูแลของผู้ขนส่งและผู้ขนส่งอื่น จึงได้มีการเปลี่ยนดวงตราผนึกตู้สินค้าไปจากหมายเลข 113008 ซึ่งเป็นหมายเลขที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้มีการผนึกไว้เพื่อป้องกันการที่จะมีผู้ที่เข้าไปถึงสินค้าในตู้สินค้าได้โดยพลการก่อนที่มีการเปิดตู้สินค้าต่อหน้าทุกฝ่ายใครเป็นผู้เปลี่ยน ขณะเปลี่ยนดวงตราผนึก ซึ่งตามปกติผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลสินค้าควรต้องมีเอกสารหลักฐานบันทึกการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้นั้นหลักฐานดังกล่าวกล่าวไว้อย่างไร พยานหลักฐานในคดีจึงมีน้ำหนักให้น่าเชื่อได้ว่าสินค้าได้สูญหายไปในระหว่างการขนส่งในช่วงที่มีการนำดวงตราผนึกตู้หมายเลข 113008 ออกไป ก่อนมีการผนึกดวงตราตู้สินค้าใหม่เป็นหมายเลข 817334 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สินค้ายังอยู่ในความดูแลของผู้ขนส่งและผู้ขนส่งอื่น ส่วนที่จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่าผู้ส่งบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าไม่ครบหรือสินค้าสูญหายไปในระหว่างบรรจุสินค้าที่ท่าเรือต้นทางนั้น เป็นเรื่องที่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นกล่าวอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 52 (9) จำเลยที่ 2 จึงมีภาระการพิสูจน์ให้ได้ความดังกล่าว ดังนั้น เมื่อข้อต่อสู้ดังกล่าวเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ให้มีน้ำหนักรับฟังได้เช่นนั้น ข้อต้อสู้ดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2 จะจำกัดความรับผิดได้เพียงใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ได้มีการระบุสินค้าไว้ในใบตราส่งมีสินค้าจำนวน 510 ชุด หน่วยการขนส่งในการขนส่งครั้งนี้จึงหมายถึง 1 ชุด ของสินค้าเครื่องรับโทรทัศน์ ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 58 นั้น ผู้ขนส่งจำกัดความรับผิดได้ 10,000 บาท ต่อหนึ่งหน่วยการขนส่ง เมื่อสินค้าสูญหายไป 50 ชุด เท่ากับว่าค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องได้ คือ ไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยไปเพียง 243,657.93 บาท แล้วเข้ารับช่วงสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายจำนวนดังกล่าว ซึ่งไม่เกินวงเงิน 500,000 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดในเงินจำนวน 243,657.93 บาท พร้อมดอกเบี้ย จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่าต้องรับผิดเพียงไม่เกิน 19,500 บาท หรือ 10,000 บาท จึงฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4 เสียด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ กับค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 ในศาลล่างทั้งสองให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share