คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3213/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิเคราะห์จากคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยแล้วยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดีคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24,227 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายให้รับผิดใช้เงินตามเช็คที่จำเลยนำมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยออกเช็คให้โจทก์ จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้แก่ส.เพื่อชำระหนี้การพนันโดยส.สมคบกับถ.น้องของโจทก์ฉ้อฉลการเล่นการพนันกับจำเลย และส.กับถ.สมคบกับโจทก์นำเช็คทั้งสามฉบับมาฟ้องจำเลยในคดีนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะนำเอาเช็คทั้งสามฉบับอันเกิดจากการพนันมาฟ้องจำเลยได้ เพราะเป็นการออกเช็คที่มิได้เกิดจากหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นคำให้การที่แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองแล้ว และเป็นคำให้การที่แสดงให้เห็นว่า โจทก์นำเช็คมาฟ้องจำเลยโดยคบคิดกันฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 916 คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องนำสืบพยานกันต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานมานั้นจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปลายเดือนกันยายน 2535 จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาโกสุมพิสัย ลงวันที่ 30 กันยายน2535 และ 5 ตุลาคม 2535 จำเลยเงินฉบับละ 50,000 บาท เพื่อแลกเงินสดไปจากโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดวันสั่งจ่าย โจทก์ได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน แต่ถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 150,656 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 150,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยออกเช็คทั้งสามฉบับให้แก่โจทก์เช็คทั้งสามฉบับจำเลยสั่งจ่ายให้แก่นายสมเกียรติ โพธิ์ล้า เพื่อชำระหนี้การพนันโดยนายสมเกียรติได้สมคบกับนายสถิต โนนทิงน้องของโจทก์ฉ้อฉลการเล่นการพนันกับจำเลย และทั้งสองคนได้สมคบกับโจทก์นำเช็คทั้งสามฉบับมาฟ้องจำเลย มูลหนี้ตามเช็คไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดชี้สองสถานและสืบพยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 150,656 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวน 150,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์จากคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยแล้วยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดี หาใช่มีการสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนไม่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24, 227 และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งไว้จึงไม่รับวินิจฉัยให้จึงหาเป็นการถูกต้องไม่ ทั้งในคดีนี้จำเลยก็ได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่าคำให้การของจำเลยยกข้อต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ไว้ชัดแจ้งแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ จึงไม่เป็นการถูกต้องอีกเช่นกัน และเมื่อจำเลยฎีกาในประเด็นดังกล่าวด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียว ซึ่งในปัญหาดังกล่าวโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายให้รับผิดใช้เงินตามเช็คที่จำเลยนำมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยออกเช็คให้โจทก์จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้แก่นายสมเกียรติ เพื่อชำระหนี้การพนัน โดยนายสมเกียรติสมคบกับนายสถิตน้องของโจทก์ฉ้อฉลการเล่นการพนันกับจำเลย และนายสมเกียรติกับนายสถิตสมคบกับโจทก์นำเช็คทั้งสามฉบับมาฟ้องจำเลยในคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะนำเอาเช็คทั้งสามฉบับอันเกิดจากการพนันมาฟ้องจำเลยได้ เพราะเป็นการออกเช็คที่มิได้เกิดจากหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามคำให้การของจำเลยดังกล่าวแสดงว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่าเช็คทั้งสามฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องมีมูลหนี้อันเกิดจากการพนันไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่ได้ออกเช็คให้โจทก์ แต่โจทก์ร่วมคบคิดกับนายสมเกียรติและนายสถิตน้องชายของโจทก์ผู้ที่จำเลยออกเช็คชำระหนี้การพนันให้ นำเช็คทั้งสามฉบับมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยโดยไม่สุจริต และรู้อยู่แล้วว่าเช็คทั้งสองฉบับไม่มีมูลหนี้นั่นเอง คำให้การของจำเลย จึงเป็นคำให้การที่แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองแล้ว และเป็นคำให้การที่แสดงให้เห็นว่า โจทก์นำเช็คมาฟ้องจำเลยโดยคบคิดกันฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องนำสืบพยานกันต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานมานั้นจึงไม่ชอบ คำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษายก คำพิพากษาศาลชั้นต้นและพิพากษาภาค 1 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share