คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3212/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเรียกเอาดอกเบี้ยค้างส่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์และรับเงินครบถ้วนเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2518 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ย ครั้นวันที่ 1 ธันวาคม 2526 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ทำสัญญารับใช้หนี้เงินกู้โดยยอมชำระดอกเบี้ยค้างส่งทั้งหมดของจำเลยที่ 1 การที่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2527 คดีโจทก์สำหรับหนี้ดอกเบี้ยค้างส่งจึงไม่ขาดอายุความแต่จำเลยที่ 1 มิได้ทำสัญญารับใช้หนี้เงินกู้ดังกล่าวด้วย จึงย่อมไม่ต้องถูกผูกพันโดยสัญญาดังกล่าว โจทก์มีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยค้างส่งได้เพียงภายใน 5 ปี นับแต่วันฟ้องย้อนหลังลงไป
อายุความฟ้องร้องเรียกคืนเงินกู้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีกำหนดสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๑๘ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ ๗,๐๐๐ บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ทำสัญญาผูกพันตนรับผิดในหนี้เงินกู้ดังกล่าวอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ ๑ รับเงินกู้แล้วเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๑๘ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ยินยอมร่วมกันเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑๓ และ ๑๔ ต่อปี ตามอัตราที่กำหนดขึ้นใหม่ภายหลัง ครั้นวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ได้ทำสัญญารับว่ายังคงเป็นหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินตั้งแต่กู้เงินไปจากโจทก์รวม ๑๔,๐๔๔.๕๐ บาท จำเลยทั้งห้าไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ร่วมกันชำระเงิน ๑๔,๐๔๔.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปีของต้นเงิน ๗,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง และให้จำเลยที่ ๑ รับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เพื่อชำระเงินให้แก่โจทก์เฉพาะต้นเงิน ๗,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี นับถัดจากวันรับเงินกู้จนกว่าชำระเสร็จ โดยหักเงิน ๙๙๘.๒๕ บาท ที่จำเลยที่ ๑ ได้ชำระเป็นค่าดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แล้ว
จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องเงินกู้เกิน ๕ ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การแต่มาศาลวันสืบพยานโจทก์และแถลงยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง ไม่ต่อสู้คดี
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ถึงจำเลยที่ ๕ ร่วมกันชำระเงิน ๑๔,๐๔๔.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี ของต้นเงิน ๗,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ ร่วมรับผิดเฉพาะต้นเงิน ๗,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ ถึงวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๒๓ หักด้วยเงิน ๙๙๘.๒๕ บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ข้อ ๒ (๑) และ (๒) ที่ว่า ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เป็นปัญหาข้อกฎหมายให้รับไว้พิจารณา
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์มีอายุความ ๑๐ ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคงมีปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ ฎีกาว่า สิทธิเรียกร้องต้นเงินและดอกเบี้ยตามหนังสือกู้เงินระยะสั้นเพื่อผลิตผลหลักและรับรองรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน ตามเอกสารหมาย จ.๓ ข้อตกลงต่อท้ายหนังสือกู้ระยะสั้นเพื่อผลิตผลหลักตามเอกสารหมาย จ.๕ และสัญญารับใช้หนี้เงินกู้ตามเอกสารหมาย จ.๗ ที่โจทก์นำมาฟ้องคดีขาดอายุความแล้ว คดีได้ความจากข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ ได้ทำหนังสือกู้เงินระยะสั้นเพื่อผลิตผลหลักและรับรองรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามเอกสารหมาย จ.๓ และจำเลยที่ ๑ รับเงินที่กู้ไปจากโจทก์จำนวน ๗,๐๐๐ บาท ตามใบรับเงินกู้เอกสารหมาย จ.๔ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ได้ทำข้อตกลงท้ายหนังสือสัญญากู้เงินระยะสั้นเพื่อผลิตผลหลักตามเอกสารหมาย จ.๕ ยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่ม ครั้นวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ได้ร่วมกันทำสัญญารับใช้หนี้เงินกู้ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระตามสัญญารับใช้หนี้เงินกู้เอกสารหมาย จ.๗ ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือกู้เงินระยะสั้นเพื่อผลิตผลหลักและรับรองรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามเอกสารหมาย จ.๓ ข้อ ๑๑ มีข้อความว่า ผู้กู้สัญญาชำระคืนเงินกู้ตามหนังสือกู้นี้พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่ธนาคารให้เสร็จภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๙ แสดงว่าจำเลยทั้งห้าเป็นลูกหนี้ตามสัญญาเงินกู้ ซึ่งอายุความการฟ้องร้องเรียกคืนเงินกู้นี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีกำหนดสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ นับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๑๙ โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๒๗ คดีโจทก์สำหรับต้นเงิน ๗,๐๐๐ บาท จึงไม่ขาดอายุความ แต่การที่จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ทำสัญญารับใช้หนี้เงินกู้ตามเอกสารหมาย จ.๗ โดยยอมชำระดอกเบี้ยถึงวันทำสัญญาดังกล่าวเป็นเงิน ๖,๒๕๒.๒๕ บาท ซึ่งเป็นดอกเบี้ยค้างส่งและมีอายุความฟ้องร้อง ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๖ นั้น จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ทำสัญญารับใช้หนี้เงินกู้ตามเอกสารหมาย จ.๗ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๖ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๒๗ คดีโจทก์สำหรับหนี้ดอกเบี้ยจึงไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ จึงต้องรับผิดตามฟ้อง แต่สำหรับจำเลยที่ ๑ ซึ่งมิได้ทำสัญญารับใช้หนี้เงินกู้ตามเอกสารหมาย จ.๗ ให้ไว้แก่โจทก์ ย่อมไม่ต้องถูกผูกพันโดยสัญญาดังกล่าว โจทก์มีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยค้างส่งได้เพียงภายใน ๕ ปี นับแต่วันฟ้องย้อนลงไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ ซึ่งเป็นวันถัดจากวันรับเงินจนถึงวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๒๓ หักด้วยเงิน ๙๙๘.๒๕ บาทแก่โจทก์นั้นจึงไม่ชอบ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี นับจากวันฟ้องย้อนหลังลงไป ๕ ปี หักด้วยเงิน ๙๙๘.๒๕ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share