แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิจารณาคดีอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โดยยื่นเมื่อล่วงเลยระยะเวลาฎีกาตามกฎหมายแล้วฎีกาจำเลยจึงไม่มีประโยชน์ที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิจารณาคดีจะอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำร้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4, 6, 9, 14, 31, 35 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ให้จำเลย คนงานผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4, 6, 9, 14, 31 วรรคสอง, 35ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 4 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี ให้จำเลย คนงานผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับบทลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 35 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยยื่นฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่พิจารณาคดีนี้อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ผู้พิพากษาพระราชบัญญัติภาค 3 ที่พิจารณาคดีสั่งคำร้องของ จำเลยว่า จำเลยยื่นคำร้องและฎีกาต่อศาลชั้นต้นพ้นกำหนด 1 เดือนนับแต่วันที่ถือว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ให้คู่ความฟังตามกฎหมาย จึงไม่มีประโยชน์ที่จะอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง
จำเลยฎีกา
ในปัญหาว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ที่พิจารณาคดีนี้อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง พร้อมกับยื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยยังคงมีภูมิลำเนาตามที่อยู่ในคำฟ้องการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้แก่จำเลยณ สถานที่ดังกล่าวจึงถูกต้องแล้ว คดีได้ความว่าจำเลยไม่มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลชั้นต้นได้ออกหมายจับจำเลยเพื่อให้มาฟังคำพิพากษาเกิน 1 เดือนแล้ว แต่ไม่ได้ตัวจำเลยมาศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยเมื่อวันที่ 30 เมษายน2536 ซึ่งถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาโดยชอบแล้ว ระยะเวลา1 เดือน ตามกฎหมายที่จำเลยจะฎีกาย่อมนับตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป แม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะได้อ่านคำพิพากษาดังกล่าวให้จำเลยฟังอีกในภายหลังก็หามีผลทำให้ยืดระยะเวลาฎีกาออกไปไม่จำเลยยื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2536 พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่พิจารณาคดีนี้อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในวันเดียวกัน ฎีกาของจำเลยจึงล่วงเลยระยะเวลาที่จำเลยมีอำนาจฎีกา และไม่มีประโยชน์ที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่พิจารณาคดีนี้จะอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำร้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งยกคำร้องจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน