แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เป็นทหารพลขับ มีหน้าที่ขับรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ 1 เป็นประจำและเป็นผู้ครอบครองดูแลรถ ดังกล่าว ได้ขับรถไปปฏิบัติราชการตามคำสั่งของ ผู้บังคับบัญชา เมื่อเสร็จภาระกิจแล้วได้นำรถออกจาก ค่ายเพื่อไปรับประทานอาหารที่ตลาด แม้จะหมดเวลาราชการ และมิได้ขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชา แต่ก็เป็นเวลาต่อเนื่องคาบเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 กลับจากไปปฏิบัติราชการ ของ จำเลยที่ 1 มา แล้วเลยใช้รถขับไปเพื่อหาอาหารรับประทาน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ยังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติงานซึ่งได้กระทำการ ตามหน้าที่การงานของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 2 ไปทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอกจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากบริษัทซิโนไทยอควิล่า จำกัดจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์ตรากงจักรหมายเลข ๔๑๒๕๗ และเป็นนายจ้างผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๘มกราคม ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ตามหน้าที่ในทางการที่จ้างไปตามถนนพหลโยธิน โดยความประมาทเมื่อถึงบริเวณหน้าที่ทำการไปรษณีย์จังหวัดสระบุรี ได้เลี้ยวรถกลับอ้อมเกาะกลางถนนโดยมิได้ระมัดระวังเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ซึ่งขับขี่ในช่องทางที่สวนทางมาตามปกติรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ได้จ่ายเงินค่าซ่อมไปแล้วเป็นเงิน ๒๖,๓๘๑ บาท ซึ่งจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายกับดอกเบี้ยเป็นเงิน ๒๗,๓๗๑ บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลและรับประกันภัยรถยนต์ตามฟ้องจริงหรือไม่ ไม่รับรอง จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่นายจ้างของจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นทหารประจำการปฏิบัติรายการไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาตามระเบียบแบบแผนของทางราชการเท่ากัน วันเกิดเหตุซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ตรากงจักรหมายเลข ๔๑๒๕๗ ออกจากศูนย์การทหารม้า จังหวัดสระบุรี เพื่อไปทำธุรกิจส่วนตัวโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๒ และเหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับขี่รถยนต์อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งขับเข้าตัวเมืองสระบุรีด้วยความเร็วสูงมาก จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิด ค่าเสียหายไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงิน ๑๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๒๓ และชำระเงิน ๒,๖๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าว นับแต่วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๒๓ กับชำระเงิน ๗,๗๕๖ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวนับแต่วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ และดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องจากเงินต้นทั้งสามยอดต้องไม่เกิน ๙๙๐ บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ร่วมใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์รวมเป็นเงิน ๒๖,๓๘๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี สำหรับจำนวนเงิน ๒๓,๗๕๖ บาท นับแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๒๓ สำหรับจำนวนเงิน ๑,๗๗๕ บาทนับแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๓ และสำหรับจำนวนเงิน ๘๕๐ บาท นับแต่วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๒๓ จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาเพียงข้อเดียวว่า กรณีถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้ทำละเมิดในขณะที่จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติงานในหน้าที่การงานของจำเลย ๑ หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุที่รถชนกันครั้งนี้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๒ ผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลในการขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปปฏิบัติหน้าที่ราชการขณะเกิดเหตุได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปบรรทุกถังเก่าจาก ม.พัน ๑๑ มาที่ค่ายอดิศร วันเกิดเหตุเวลา ๑๙ นาฬิกา หมดเวลาราชการแล้วจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุออกจากค่ายอดิศรเพื่อไปรับประทานอาหารโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ใดแล้วเกิดเหตุชนกันขึ้น จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ขับรถยนต์คันเกิดเหตุอยู่เป็นประจำ และเป็นผู้ครอบครองดูแลรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ ๑ ตามหน้าที่อยู่ตลอดเวลา จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ลักเอารถยนต์คันเกิดเหตุไปใช้โดยพลการตามพฤติการณ์ดังกล่าวมา ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นทหารพลขับมีหน้าที่ขับรถยนต์คันเกิดเหตุอยู่เป็นประจำและเป็นผู้ครอบครองดูแลรถยนต์คัดเกิดเหตุของจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปปฏิบัติราชการตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเมื่อเสร็จภาระกิจแล้ว จำเลยที่ ๒ ก็ได้นำรถยนต์คันเกิดเหตุออกจากค่ายอดิศรเพื่อไปรับประทานอาหารที่ตลาด แม้จะหมดเวลาราชการและมิได้ขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชา แต่ก็เป็นเวลาต่อเนื่องคาบเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ กลับจากไปปฏิบัติราชการของจำเลยที่ ๑ มาแล้วเลยใช้รถยนต์คันเกิดเหตุขับไปเพื่อหาอาหารรับประทานกรณีเช่นนี้จึงถือได้ว่ายังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติงานของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นทหารพลขับได้กระทำการตามหน้าที่การงานของจำเลยที่ ๑ อยู่ เมื่อจำเลยที่ ๒ ไปทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอก จำเลยที่ ๑ ก็ต้องรับผิดด้วย ทั้งนี้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖ วรรคแรกที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดให้จำเลยที่ ๑ ร่วมใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ด้วยนั้นชอบแล้วฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน