แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่พิพาทเคยเป็นทางเรือที่ประชาชนเคยใช้ประโยชน์ร่วมกันอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมาก่อน แม้จำเลยจะถมที่พิพาทจนเป็นที่ว่างและน้ำท่วมไม่ถึง เมื่อยังไม่มีการเพิกถอนสภาพที่ดินดังกล่าวตาม ป.ที่ดิน และทางราชการยังสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันที่พิพาทจึงยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนี้ โจทก์ครอบครองมานานเท่าใด ก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง และโจทก์ต้องห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1306.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. 2471 นางเฟี้ยม สุวรรณตระกูล ได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 802 เลขที่ดิน 297 ตำบลบางปลาสร้อย(มะขามหย่ง) อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์กับได้ครอบครองที่ดินซึ่งอยู่ติดกับที่ดินแปลงดังกล่าวไปทางทิศตะวันออกอย่างเป็นเจ้าของอีกเนื้อที่ 45 ตารางวา โดยแต่แรกนางเฟี้ยมคิดว่าเป็นที่ดินอยู่ในโฉนดดังกล่าว เพราะที่ดินได้ตื้นเขินเป็นสภาพเดียวกันพ้นสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ไม่มีพลเมืองใช้ร่วมกันอีกต่อไป จึงไม่ได้แจ้งการครอบครองไว้ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน นางเฟี้ยมได้ครอบครองที่ดินตลอดมาจนตายไปนาน10 ปีเศษแล้ว ก่อนตายนางเฟี้ยมได้โอนการครอบครองให้แก่นางทับทิมจิตต์ประวัติ และหลังจากนางเฟี้ยมตายแล้วได้มีการสอบเขตที่ดินจึงได้ทราบว่าที่ดินเนื้อที่ 45 ตารางวา ดังกล่าวอยู่นอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 802 เมื่อปี พ.ศ. 2514 นางทับทิมได้โอนสิทธิครอบครองที่ดิน45 ตารางวา ดังกล่าวให้โจทก์โดยทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและส่งมอบที่ดินให้โจทก์ยึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของติดต่อมาจนบัดนี้โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์แต่อย่างใด โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองตามกฎหมาย เมื่อเดือนตุลาคมปี พ.ศ. 2526 โจทก์ไปยื่นคำร้องขอรังวัดที่ดินแปลงดังกล่าว ทางสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีได้ให้ช่างแผนที่ออกไปทำการรังวัดเพื่อออกโฉนดให้โจทก์ แต่ระหว่างดำเนินการจำเลยได้มีหนังสือที่ ชบ.5204/37 แจ้งไปยังสำนักงานที่ดินคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน โดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่จำเลยดูแลอยู่ เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ได้ การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ จึงขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยถอนหนังสือของจำเลยที่ ชบ. 5204/37 ฉบับลงวันที่ 5 มกราคม 2527 เรื่องการระวังแนวเขตและลงชื่อรับรองเขตที่ดินซึ่งมีถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีเสียทั้งนั้น หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ทันที ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินตามฟ้องอีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเดิมเป็นทางเรือสาธารณะที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เมื่อประมาณปีพ.ศ. 2498 ทางเรือสาธารณะดังกล่าวได้เลิกใช้ แม้ไม่มีสภาพเป็นทางเรือจะโดยตื้นเขินขึ้นตามธรรมชาติหรือมีคนเอาดินทรายไปถมก็ตามก็ถือว่ายังคงเป็นทางเรือสาธารณะอันเป็นสาธาณสมบัติของแผ่นดินตราบเท่าที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินนั้นตามมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โจทก์ไม่มีสิทธิอ้างการครอบครองมายันรัฐได้หลังจากที่พิพาทกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่าแล้วโจทก์เอาดินทรายมาถมและล้อมรั้วลวดหนามในที่พิพาทอ้างว่าเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทจึงถือว่าโจทก์บุกรุกที่พิพาท จำเลยมีหน้าที่ดูแลรักษาที่พิพาทได้บอกกล่าวให้โจทก์รื้อถอนรั้วลวดหนามออกไปแล้วแต่โจทก์เพิกเฉยจึงขอให้พิพากษาบังคับให้โจทก์และบริวารออกไปจากที่พิพาททั้งรื้อถอนรั้วลวดหนามออกไปด้วย ถ้าไม่ยอมรื้อถอนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนโจทก์ ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทอีกต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทไม่เคยมีสภาพเป็นทางเรือมาก่อนไม่เคยมีประชาชนมาใช้ทำประโยชน์ เป็นที่ที่สามารถออกโฉนดได้
ศาลชั้นต้นสั่งงดชี้สองสถานและสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยถอนหนังสือของจำเลยที่ ชบ.5204/37 ฉบับลงวันที่ 5 มกราคม 2527เรื่อง การระวังแนวเขตและลงชื่อรับรองเขตที่ดินซึ่งมีถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีเสียทั้งสิ้น หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ได้ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินโจทก์อีกต่อไป ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์และบริวารออกไปจากที่พิพาทพร้อมทั้งรื้อถอนรั้วลวดหนามออกไปด้วย ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทอีกต่อไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่…พยานหลักฐานจำเลยรับฟังได้มั่นคงกว่าพยานโจทก์ว่าที่พิพาทเคยเป็นทางเรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมาก่อน แม้จำเลยจะถมที่พิพาทจนเป็นที่ว่างน้ำท่วมไม่ถึงต่อมา เมื่อยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาออกมาเพิกถอนสภาพตามมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินและจำเลยก็ยังสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ที่พิพาทยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่แม้โจทก์จะครอบครองมานานเพียงใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครองและโจทก์ต้องห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องที่พิพาทอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1306…”
พิพากษายืน.