แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 จะต้องได้ความด้วยว่าความเท็จที่เบิกความไปนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี เมื่อปรากฏว่าข้อหาในคดีเดิมที่โจทก์นำมาเป็นมูลในการฟ้องคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้อง และมิได้ระบุมาตราที่ขอให้ลงโทษ ถือได้ว่าข้อหาที่โจทก์นำมาเป็นมูลในการฟ้องคดีนี้ ยังไม่เคยมีการฟ้องต่อศาลมาก่อน จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าคำเบิกความของจำเลยในคดีนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอันจะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จหรือไม่คำเบิกความในคดีนั้นของจำเลยจึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดี.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ได้ นอกจากจะต้องได้ความว่า บุคคลที่ถูกฟ้องเข้าเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลแล้ว ยังจะต้องให้ได้ความด้วยว่าความเท็จที่เบิกความไปนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ปรากฏว่าในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 706/2528 ของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์นำมาเป็นมูลในการฟ้องคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะเห็นว่าในข้อหาเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องมาสำหรับข้อหานี้และมิได้ระบุมาตราที่ขอให้ลงโทษจำเลยมาท้ายฟ้อง ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะฟ้องจำเลยที่ 3 ให้ศาลพิจารณาโทษตามบทมาตราดังกล่าวเช่นนี้ จึงถือได้ว่าข้อหาสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ซึ่งโจทก์นำมาเป็นมูลในการฟ้องคดีนี้ยังไม่เคยมีการฟ้องต่อศาลมาก่อน จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าคำเบิกความของจำเลยในคดีนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอันจะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 หรือไม่
พิพากษายืน.