แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเอาเครื่องมือปลอมเงินตราและเหรียญปลอมไปซุกใส่บ้านผู้เสียหาย แล้วจำเลยติดต่อให้ตำรวจมาจับ ตำรวจมาค้นได้ของกลาง และจับผู้เสียหายขัง 4 วัน จึงได้ประกันตัวเช่นนี้ การกระทำของจำเลยไม่ผิดฐานทำให้เลื่อมเสียอิสรภาพตาม มาตรา 270 เพราะการที่ผู้เสียหายถูกจับตัวไปกักขังนั้น เป็นเรื่องอยู่ในดุลยพินิจของตำรวจที่จะพิจารณาเห็นสมควรจับกุมตามควรแก่กรณี หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายแต่ประการใดไม่
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2503)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเครื่องมือปลอมเงินตรา มีเงินตราปลอมไว้จำหน่าย แกล้งใส่เท็จทำพยาน และทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ในข้อหาฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพนั้น โจทก์กล่าวว่า จำเลยนำเครื่องมือและวัตถุในการทำเงินตราปลอมไปซุกใส่ไว้ในบ้านนายมูซอ วังซัง แล้วติดต่อให้ตำรวจมาจับ ตำรวจมาค้นของกลางได้และจับนายมูซอ วังซังไปควบคุมตัว ๔ วัน จึงได้ประกันตัวไป ทำให้มูซอ วังซัง ปราศจากความเป็นอิสระแก่ตน ขอให้ลงโทษ
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเชื่อว่า จำเลยมีเครื่องมือปลอมเงินตราไว้โดยเจตนาปลอมเงินตราและจำหน่ายเงินตราปลอม ใส่เท็จคำพยานโดยเอาเครื่องมือวัตถุปลอมเงินตราไปซุกใส่บ้านนายมูซอ วังซัง เพื่อให้นายมูซอ ถูกกักขังอยู่ ๔ วัน เป็นการเสื่อมเสียอิสรภาพ ต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๐๓, ๒๐๕, ๑๕๙, ๒๗๐ แก้ไข พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา๖, ๘ และแก้ไข พ.ศ. ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๓) มาตรา ๔ รวมกะทงลงโทษจำคุก ๑๒ ปี จำเลยรับชั้นสอบสวนลด ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๕๙ คงจำคุก ๘ ปี ของกลางนอกจากตามบัญชีท้ายฟ้องหมายเลข ๘ ริบ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลทั้งสอง แต่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยกระทำผิดฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๗๐ ด้วยนั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่ผู้เสียหายถูกจับตัวไปกักขังนั้นเป็นเรื่องอยู่ในดุลยพินิจของตำรวจที่จะพิจารณาเห็นสมควรจับกุมตามควรแก่กรณี หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายแต่ประการใดไม่ จำเลยจึงไม่ควรได้รับโทษฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพตาม มาตรา ๒๗๐ ดังที่ศาลทั้งสองวินิจฉัย
ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ให้ยกข้อหาตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๗๐ นั้นเสีย นอกนี้คงยืนตามศาลอุทธรณ์