คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3196/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่าง ส. กับ ต. แม้ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรก ก็ตาม แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เป็นหลักฐาน เจ้าของที่ดินจึงมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้นเมื่อ ต. ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ ส. บิดาโจทก์ถือว่า ต. ได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่บิดาโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377,1378 แล้ว เมื่อโจทก์ได้เข้าครอบครองโดยบิดายกให้ โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แม้ขณะซื้อขายที่ดินพิพาทมีข้อตกลงว่าเมื่อไถ่ถอนจำนองแล้ว จึงจะมีการโอนที่ดินพิพาทให้แก่ ส. ก็เป็นเรื่องประสงค์จะให้มีหลักฐานทางทะเบียนภายหลังจากที่ได้โอนสิทธิครอบครองแล้วเท่านั้น เพราะในขณะที่มีการซื้อขายที่ดินพิพาทนั้น ต. ได้จำนองที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงรวมทั้งที่ดินพิพาทไว้กับ พ. ไม่อาจทำการโอนทางทะเบียนได้ จึงมิใช่เงื่อนไขในสัญญาซื้อขายอันจะมีผลทำให้สัญญาซื้อขายดังกล่าวซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกลายเป็นสัญญาจะซื้อขาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ซึ่งเป็นที่ดินส่วนด้านทิศใต้ของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 6 มีชื่อนายตา วนาพันธ์ เป็นเจ้าของ (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นโฉนดเลขที่ 19072) เมื่อปี 2521 บิดาโจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ และโจทก์เข้าครอบครองทำนาด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา ขณะนั้นนายตาจดทะเบียนจำนองที่ดินแก่นายพูลสายเหลา จึงไม่ได้จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ หลังจากนายตาถึงแก่ความตาย โจทก์ติดต่อทายาทของนายตาให้จดทะเบียนโอนที่ดินแก่โจทก์ แต่ทายาทของนายตาไม่ยินยอม ต่อมาทายาทของนายตาขายที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 ขายแก่จำเลยที่ 1โดยโจทก์ไม่ทราบเรื่อง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2538 จำเลยที่ 1โดยการสนับสนุนของจำเลยที่ 2 ได้ใช้รถแทรกเตอร์ไถที่ดินทำให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ไม่ได้ ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินส่วนด้านทิศใต้ของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 19072 เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายปีละไม่ต่ำกว่า 1,920 บาท แก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะเลิกเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว

จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นที่ดินเฉพาะส่วนด้านทิศใต้ของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 19072เนื้อที่ 1 ไร่ เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยที่ 1 และบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไปให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 1,920 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะเลิกเกี่ยวข้องกับที่ดิน ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 6 เดิมเป็นของนายตา วนาพันธ์ นายตาจดทะเบียนจำนองแก่นายพูล สายเหลาขณะที่ยังไม่ไถ่ถอนจำนอง นายตาแบ่งขายที่ดินพิพาทให้แก่นายสงกรานต์ร่มเย็น บิดาโจทก์เมื่อปี 2521 นางสงกรานต์ให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา ต่อมานายตาถึงแก่กรรม นายอำคา วนาพันธ์ รับมรดกมาและได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2531จำเลยที่ 2 ขายต่อให้จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2536 ต่อมาที่ดินตาม น.ส.3 ก. ดังกล่าวได้ออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 19072 เมื่อวันที่ 8มีนาคม 2537 มีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยรวมที่ดินพิพาทไว้ด้วยตามโฉนดที่ดินเลขที่ 19072 เอกสารหมาย ล.1

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนายสงกรานต์กับนายตาแม้ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรก ก็ตาม แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เป็นหลักฐานเจ้าของที่ดินจึงมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น เมื่อนายตาได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นายสงกรานต์บิดาโจทก์ ถือว่านายตาได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่บิดาโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 แล้ว เมื่อโจทก์ได้เข้าครอบครองโดยบิดายกให้โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแม้นางดวงใจ ร่มเย็น และนางวนิดา ร่มเย็น พยานโจทก์ทั้งสองปากจะเบิกความว่าขณะซื้อขายที่ดินพิพาทมีข้อตกลงว่าเมื่อไถ่ถอนจำนองแล้ว จึงจะมีการโอนที่ดินพิพาทให้แก่นายสงกรานต์ก็ตาม ก็เป็นเรื่องประสงค์จะให้มีหลักฐานทางทะเบียนภายหลังจากที่ได้โอนสิทธิครอบครองแล้วเท่านั้น เพราะในขณะที่มีการซื้อขายที่ดินพิพาทนั้น นายตาได้จำนองที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงรวมทั้งที่ดินพิพาทไว้กับนายพูล ไม่อาจทำการโอนทางทะเบียนได้จึงมิใช่เงื่อนไขในสัญญาซื้อขายอันจะมีผลทำให้สัญญาซื้อขายดังกล่าวซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกลายเป็นสัญญาจะซื้อขายดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย และเมื่อฟังว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ใช้รถแทรกเตอร์ไถที่ดินพิพาททำให้โจทก์ไม่อาจเข้าไปทำนาได้ ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share