คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3194/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องเกี่ยวกับการกระทำประมาทของจำเลยว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์ด้วยความเร็วและเปลี่ยนช่องเดินรถโดยกะทันหัน เข้าไปเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับในช่องเดินรถของผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่ทางพิจารณาโจทก์ทั้งสองนำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุมีรถจักรยานยนต์ที่ขับคู่กันมาเบียดรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับล้มลงในช่องเดินรถช่องที่ 1 ขณะผู้ตายกำลังจะลุกขึ้น จำเลยซึ่งขับรถตามหลังมาในช่องเดินรถที่ 2 ได้เปลี่ยนช่องเดินรถเข้ามาในช่องเดินรถที่ 1 โดยขณะขับรถจำเลยกำลังใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่พูดคุย เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับชนผู้ตาย ดังนี้ เหตุที่ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์เสียหลักล้มลงไม่ได้เกิดจากการที่จำเลยขับรถเปลี่ยนช่องเดินรถมาเฉี่ยวชนตามที่โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้อง และขณะที่จำเลยขับรถพุ่งเข้าชนนั้น ผู้ตายและรถของผู้ตายล้มลงบนถนนแล้ว มิใช่ผู้ตายกำลังขับรถจักรยานยนต์อยู่บนถนนตามที่โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้อง รวมทั้งข้อที่โจทก์ทั้งสองนำสืบว่าจำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่พูดคุยในขณะขับรถยนต์นั้น โจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้กล่าวในฟ้อง ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองนำสืบเกี่ยวกับการกระทำประมาทของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงอันเป็นการกระทำโดยประมาทของจำเลยตามที่โจทก์ทั้งสองบรรยายมาในฟ้อง ต้องห้ามมิให้ศาลพิพากษาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำคุก 3 ปี และปรับ 10,000 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องเกี่ยวกับการกระทำประมาทของจำเลยว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์ด้วยความเร็วและเปลี่ยนช่องเดินรถโดยกะทันหัน เข้าไปเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับมาด้วยความระมัดระวังในช่องเดินรถของผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายรับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย เป็นการบรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถเร็วและเปลี่ยนช่องเดินรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับมาตามปกติในช่องเดินรถของผู้ตาย และการเฉี่ยวชนดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่ในทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุมีรถจักรยานยนต์สองคันขับคู่กันมาในช่องเดินรถช่องที่ 1 ติดทางเท้า แล้วคนขับรถจักรยานยนต์คันซ้ายได้ขับรถเบี่ยงออกไปทางขวา รถจักรยานยนต์คันขวาที่ผู้ตายขับล้มลงทางซ้าย ส่วนผู้ตายล้มลงทางขวาของรถ และขณะผู้ตายกำลังจะลุกขึ้น จำเลยซึ่งขับรถยนต์ตามหลังมาในทิศทางเดียวกันในช่องเดินรถที่ 2 ได้เปลี่ยนช่องเดินรถเข้ามาขับในช่องเดินรถที่ 1 โดยขณะขับรถจำเลยกำลังใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่พูดคุย เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับชนผู้ตาย แสดงว่าก่อนเกิดเหตุรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับเสียหลักล้มลงอันเนื่องจากรถจักรยานยนต์คันซ้ายที่ขับคู่กันมาเบียดไปทางรถที่ผู้ตายขับ เมื่อรถผู้ตายและผู้ตายล้มลงกับพื้นถนนแล้ว จำเลยซึ่งขับรถตามหลังมาในช่องที่ 2 และเปลี่ยนช่องเดินรถไปช่องที่ 1 ได้พุ่งชนผู้ตายและรถผู้ตาย ดังนี้ เหตุที่ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์เสียหลักล้มลงจึงไม่ได้เกิดจากการที่จำเลยขับรถเปลี่ยนช่องเดินรถมาเฉี่ยวชนตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และขณะที่จำเลยขับรถยนต์พุ่งเข้าชนนั้น ผู้ตายและรถของผู้ตายล้มลงบนถนนแล้ว มิใช่ผู้ตายกำลังขับรถจักรยานยนต์อยู่บนถนนตามที่โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องแต่อย่างใด รวมทั้งข้อที่โจทก์ทั้งสองนำสืบว่า จำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่พูดคุยในขณะขับรถยนต์นั้น โจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้กล่าวว่าเป็นการกระทำโดยประมาทของจำเลยว่าไว้ในฟ้อง ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองนำสืบเกี่ยวกับการกระทำประมาทของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงอันเป็นการกระทำโดยประมาทของจำเลยตามที่โจทก์ทั้งสองบรรยายมาในฟ้อง กรณีจึงต้องห้ามมิให้ศาลพิพากษาในข้อที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้กล่าวมาในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป
พิพากษายืน

Share