คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3194/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะระบุชื่อจำเลยเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทมาจากมารดาโจทก์ก็ตาม แต่ด้วยผลของกฎหมายคงสันนิษฐานได้แต่เพียงว่าจำเลยมีเพียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น การที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎ แม้จำเลยจะแจ้งความกล่าวหาโจทก์ว่าบุกรุกที่ดินพิพาทอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ก็ตาม แต่จำเลยก็ยังมิได้เข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทไปจากโจทก์ เมื่อโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตลอดถึงวันฟ้อง โจทก์จึงไม่หมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินจำนวน1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ 33 วา โจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากนางสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2521 และเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยปลูกต้นมะพร้าวและทำรั้วเสาไม้ขึงด้วยลวดหนามไว้โดยรอบ เมื่อระหว่างวันที่ 21 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2532 จำเลยกับพวกได้ปักรั้วเสาปูนซิเมนต์ขึงลวดหนามทับซ้อนรั้วของโจทก์ พร้อมกับทำลายรั้วของโจทก์จนใช้การไม่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดประโยชน์จากการทำนาซึ่งฤดูทำนาครั้งหนึ่งจะได้ข้าวเปลือกคิดเป็นเงิน12,000 บาท ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชำระค่าเสียหายปีละ 12,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนคดีถึงที่สุด ให้จำเลยรื้อถอนรั้วออกไปจากที่ดินของโจทก์และทำรั้วแทนรั้วเดิมของโจทก์ ให้จำเลยดำเนินการแก้ไขทะเบียนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 512 ให้เป็นชื่อโจทก์หากไม่ปฏิบัติตามให้เอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลยโดยซื้อมาจากนางสิทธิ์ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2530 จากนั้นจำเลยได้ปักเสารั้วเป็นแนวเขตและครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน พร้อมทั้งเสียภาษีบำรุงท้องที่โดยไม่มีใครโต้แย้งสิทธิ จนกระทั่งเดือนเมษายน2530 โจทก์ได้เข้ามาไถพรวนดินในที่ดินของจำเลย จำเลยจึงแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจ จำเลยได้ที่ดินมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและครอบครองทำประโยชน์โดยถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ฟ้องเกี่ยวกับเรื่องแย่งสิทธิครอบครองในที่ดินเกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย ฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 512 เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้จำเลยรื้อถอนรั้วของจำเลยออกไปจากที่ดินดังกล่าวและชำระค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนคดีถึงที่สุด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทตามฟ้องคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย ล.1 จำเลยซื้อมาจากนางสิทธิ์บัวแก้ว มารดาโจทก์ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2530 ปรากฎตามหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.2 ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกมีว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น แม้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย ล.1จะระบุชื่อจำเลยเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทมาจากมารดาโจทก์ก็ตามแต่ด้วยผลของกฎหมายคงสันนิษฐานได้แต่เพียงว่า จำเลยมีเพียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น ดังนั้น การที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามข้อพิพาทของจำเลยนั้นจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎ
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้น เห็นว่าแม้ในวันที่ 20 ธันวาคม 2531 จำเลยจะแจ้งความกล่าวหาโจทก์ว่าบุกรุกที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย ล.3 อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ก็ตาม แค่ จำเลยก็ยังมิได้เข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทไปจากโจทก์เมื่อโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตลอดถึงวันฟ้อง โจทก์จึงไม่หมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
พิพากษายืน

Share