แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 219 ที่บัญญัติถึงการชำระหนี้ กลายเป็นพ้นวิสัยนั้น หมายถึงว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ปฏิบัติการชำระหนี้นั้นไม่ได้
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ เวลาเจ้าพนักงานไปรังวัด มีผู้ร้องคัดค้านว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานรังวัดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของเขา จำเลยจึงขอต่อเจ้าพนักงานให้งดรังวัดไว้ก่อน เพื่อทำความตกลงกับผู้ร้อง ดังนี้ ยังไม่เรียกว่าจะทำให้การรังวัดและโอนขายให้โจทก์ไม่ได้
ข้อความในรายงานพิจารณานั้น ศาลจดไว้ตามสมควรแก่รูปคดี ศาลไม่มีหน้าที่จดทุกอย่างที่คู่ความประสงค์ให้จด ศาลจะจดให้ฉะเพาะแต่ที่เป็นสาระแห่งคดีเท่านั้น
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความพอจะวินิจฉัยคดีแล้ว ศาลย่อมไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงอื่นอันไม่สำคัญแก่รูปคดี และสั่งงดสืบพะยานเสียได้.
โจทก์เคยฟ้องจำเลยโดยอ้างสัญญาเดิมและอ้างว่าสัญญาใหม่ที่นำมาฟ้องในคดีนี้ใช้ไม่ได้ ต่อเมื่อศาลยกฟ้องแล้ว จึงหวนกลับเอาสัญญาใหม่มาฟ้องอีก ดังนี้ ย่อมฟ้องได้เพราะเป็นคนละประเด็น ไม่ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 144.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ขายที่ดินส่วนของจำเลยที่ ๑ ให้แก่โจทก์และได้รับมัดจำไปแล้ว ๕๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ยินยอมด้วย โดยตกลงกันว่าที่ดินทางทิศเหนือซึ่งติดต่อกับที่ดินของนายเลี่ยงสือ เป็นส่วนของจำเลยที่ ๑ ต่อมาวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๔๘๙ พระยาพิทักษ์สามีโจทก์ได้ทำสัญญาในฐานตัวแทนโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แปลงหนี้ใหม่ คือ ตกลงฉะเพาะเนื้อที่กว้าง ๑๐ ศอกยาวตามเนื้อที่ดินด้านที่ติดต่อกับนายเลี่ยงสือ และยอมให้โจทก์ขุดคูเอาดินถมคูเก่าจนเต็มเป็นพื้นเดียวกับที่ ๆ ถมไว้แล้ว ทั้งยอมให้โจทก์ฝังท่อในคูใหม่ของจำเลยที่ ๑ ไปใช้น้ำในที่ของโจทก์ วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๔๘๙ จำเลยทั้ง ๒ ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานขอแบ่งโฉนด และจำเลยที่ ๑ ขอแบ่งแยกเพื่อขายให้โจทก์ เวลาเจ้าพนักงานรังวัด นายเลี่ยงสือคัดค้านว่าจำเลยนำรังวัดรุกล้ำที่ดินของตน จำเลยจึงขอให้งดการรังวัดไว้ก่อนเพื่อทำความตกลงภายใน แต่แล้วจำเลยทั้ง ๒ มิได้จัดการอย่างใด จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดและโอนขายให้โจทก์ และให้จำเลยยอมให้โจทก์ขุดคูในที่ดินของจำเลย และเอาดินถมคูเก่าและฝังท่อในคูใหม่ของจำเลยไปใช้น้ำในที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การที่เจ้าพนักงานหยุดไม่ยอมรังวัด ซึ่งไม่ใช่ความผิดของจำเลย อันเป็นเหตุให้การชำระหนี้พ้นวิสัย จำเลยเป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามมาตรา ๒๑๙ ป.ม.แพ่งฯ พระยาพิทักษ์สามีโจทก์รับไปเจรจาทำความตกลงปรองดองกันกับนายเลี่ยงสือ เมื่อเจรจาไม่ตกลงจำเลยก็ไม่ต้องรับผิดชอบ โจทก์เคยฟ้องขอให้บังคับจำเลยขายที่ดินของจำเลยให้โจทก์ครึ่งหนึ่งตามสัญญาลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๙ ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์จึงกลับมาฟ้องตามสัญญาใหม่ย่อมได้ จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า โจทก์ฟ้องไม่ได้เพราะจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่คู่สัญญา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้ง ๒ จัดการดำเนินเรื่องกับนายเลี่ยงสือให้เสร็จภายใน ๑๕ วันและให้จำเลยที่ ๑ จัดการโอนขายให้แก่โจทก์ตามสัญญาลงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๔๘๙ หากจำเลยทั้ง ๒ ไม่ดำเนินเรื่องกับนายเลี่ยงสือในกำหนด ก็ให้จัดการแบ่งส่วนของจำเลยระหว่างกันเองเท่าที่ไม่มีวิวาทแล้ว ให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญา ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๑ โอนขายที่ทางด้านเหนือตามที่ตกลงตามสัญญาลงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๔๘๙ ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ฎีกา,
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๒๑๙ ที่ว่า การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤตติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลัง และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิด ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น หมายถึงว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นซึ่งทำให้ปฏิบัติการชำระหนี้นั้นไม่ได้ คดีนี้เพียงแต่นายเลี่ยงสือร้องคัดค้านไม่ยอมตกลง ไม่ใช่ว่าจะทำให้การรังวัดและโอนขายให้โจทก์ไม่ได้ จำเลยมีทางที่จะดำเนินต่อไป และตามสัญญาจำเลยก็มีหน้าที่จะต้องจัดการโอนที่ให้โจทก์ การที่สามีโจทก์รับไปเจรจากับนายเลี่ยงสือ แล้วไม่ตกลงกันได้นั้น จะถือเอาเป็นความผิดฝ่ายโจทก์ และจะทำให้จำเลยหมดหน้าที่ที่จะปฏิบัติตามสัญญาไม่ได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ศาลชั้นต้นจดรายงานพิจารณาลงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๔๘๙ สั้นไป ไม่ได้ความหมดจนจำเลยต้องทำคำแถลงเสนอไว้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความในรายงานพิจารณานั้น ศาลจดไว้ตามสมควรแก่รูปคดีแล้ว ศาลไม่มีหน้าที่จะต้องจดทุกอย่างที่จำเลยประสงค์จะให้จด ศาลจะจดให้แต่ฉะเพาะที่เป็นสาระแห่งคดีเท่านั้น แม้ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างที่จำเลยทำการแถลงเสนอไว้ ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงไป ข้อที่ศาลสั่งงดสืบพะยานเสียนั้น เพราะข้อเท็จจริงได้ความพอจะวินิจฉัยคดี ศาลก็ย่อมไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงอื่น อันไม่สำคัญแก่รูปคดีข้อที่ว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยตามสัญญาเดิม และอ้างว่าสัญญาใหม่ที่นำมาฟ้องคดีนี้ใช้ไม่ได้ ศาลยกฟ้องแล้ว จึงหวนกลับเอาสัญญาใหม่มาฟ้องนั้น ย่อมทำได้ เพราะประเด็นในคดีไม่ใช่ประเด็นเดียวกับคดีก่อน ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๔
พิพากษายืน.