แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งจำเลยเช่าจากโจทก์ บ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินที่จำเลยเช่า ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกไป แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าจำเลยยอมรื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์ ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด แต่จำเลยมิได้รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปตามสัญญาโจทก์จึงขอออกหมายบังคับคดี และปรากฏว่าบ้านพิพาทในคดีนี้เป็นบ้านหลังเดียว กันกับบ้านพิพาทในอีกคดีหนึ่งซึ่ง ส.เป็นโจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยในคดีนี้ฟ้องขับไล่ผู้ร้องในคดีนี้เป็นจำเลยให้ออกจากบ้านพิพาทและคดีดังกล่าวได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า ผู้ร้องยอมอาศัยห้องหนึ่งของบ้านพิพาทอย่างผู้อาศัย ดังนั้น เมื่อ ส. แถลงรับในคดีนี้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า เป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวและมอบอำนาจให้จำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นบิดาเป็นผู้ดูแลบ้านพิพาทและฟ้องคดีแทน ทั้งยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำไว้กับโจทก์คดีนี้ ส. จึงอยู่ในฐานะวงศ์ญาติและบริวารของจำเลย ผู้ร้องในฐานะผู้อาศัยอยู่ในบ้านพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งทำไว้กับ ส. ก็อยู่ในฐานะบริวารของจำเลยเช่นเดียวกัน หาได้มีอำนาจพิเศษอันจะเป็นข้ออ้างต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) แต่อย่างใดไม่ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิจะขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและหมายบังคับคดีในคดีนี้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนบ้านเลขที่ 200ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 5077 ที่จำเลยเช่าจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของ ต่อมา โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมรื้อถอนบ้านหลังดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2533 หากไม่รื้อถอนยินยอมให้บังคับคดีได้ทันที ต่อมาวันที่ 8 มีนาคม 2533 โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม ขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลมีคำสั่งออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้อยู่อาศัยในบ้านเลขที่ 200ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 16 พฤษภาคม2533 ของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ 1888/2531 ซึ่งผู้ร้องยอมอาศัยห้องหนึ่งของบ้านเลขที่ 200 ของนางสาวสาลินีอย่างผู้อาศัย และทำหน้าที่เก็บค่าเช่าห้องจากผู้เช่าอีก 6 ห้อง ให้นางสาวสาลินี สัญญาประนีประนอมยอมความคดีนี้ไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและหมายบังคับคดีคดีนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องออกจากบ้านพิพาทภายใน 20 วันนับแต่วันที่ 16 เมษายน 2533
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5077 ซึ่งจำเลยเช่าจากโจทก์ บ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินที่จำเลยเช่า ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ และโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมรื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด แต่จำเลยไม่ได้รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปตามสัญญา โจทก์จึงขอออกหมายบังคับคดี บ้านพิพาทในคดีนี้เป็นบ้านหลังเดียวกันกับบ้านพิพาทในคดีหมายเลขแดงที่ 1888/2531ของศาลชั้นต้น ระหว่าง นางสาวสาลินี ไกรแสงศรีโดยนายสมบัติไกรแสงศรี (จำเลยคดีนี้) โจทก์ นางวา อินทะกูลหรือไกรแสงศรี(ผู้ร้องคดีนี้) จำเลย ซึ่งฟ้องขับไล่ผู้ร้องออกจากบ้านพิพาท คดีดังกล่าวผู้ร้องในฐานะจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนางสาวสาลินีโจทก์ในคดีดังกล่าวว่า ผู้ร้องยอมอาศัยห้องหนึ่งของบ้านพิพาทอย่างผู้อาศัย นางสาวสาลินีแถลงรับในคดีนี้ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 16 เมษายน 2533 ว่า เป็นโจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 1888/2531 และมอบอำนาจให้จำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นบิดาเป็นผู้ดูแลบ้านพิพาทและฟ้องคดีแทน ยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำไว้กับโจทก์คดีนี้ มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า ผู้ร้องจะขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและหมายบังคับคดีในคดีนี้ได้หรือไม่ เห็นว่าบ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยจำเลยเป็นผู้เช่าที่ดิน เมื่อโจทก์ขับไล่จำเลยให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์และจำเลยตกลงยอมรื้อถอนบ้านพิพาทออกไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วซึ่งนางสาวสาลินีบุตรจำเลยยอมรับว่า จำเลยเป็นผู้ดูแลบ้านพิพาทและยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความคดีนี้นางสาวสาลินีจึงอยู่ในฐานะวงศ์ญาติและบริวารของจำเลย ผู้ร้องในฐานะผู้อาศัยอยู่ในบ้านพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งทำไว้กับนางสาวสาลินี แม้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ก็มีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณี หามีผลต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะบริวารของจำเลยเช่นเดียวกัน หาใช่มีอำนาจพิเศษอันจะเป็นข้ออ้างต่อโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(1) ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิจะขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและหมายบังคับคดีในคดีนี้ สำหรับฎีกาของผู้ร้องที่ว่าเหตุที่เพิ่งยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์เรื่องโจทก์ให้ผู้ร้องเช่าที่ดินต่อจากจำเลย และนางสาวสาลินีไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยดูแลบ้านพิพาทและฟ้องคดีนั้น เป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน