แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการซึ่งโจทก์และจำเลยได้ร่วมลงนามด้วยนั้น มิได้กำหนดเวลาการเสนอ ข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการไว้ จึงนำบทบัญญัติตาม มาตรา 9 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ. 2530 มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้ คู่สัญญาจึงต้องเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการภายในกำหนดอายุความตามกฎหมายเมื่อปรากฏว่าขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการยังอยู่ในกำหนดเวลาที่โจทก์จะเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการได้ แต่โจทก์มิได้เสนอข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการตามสัญญาก่อนจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายที่ถูกฟ้องจึงชอบที่จะขอให้ศาล มีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่สัญญาไปดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อนได้ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯมาตรา 10 เมื่อสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการข้อ 10 ระบุว่า “คู่สัญญาตกลงเสนอข้อพิพาททางแพ่งที่เกิดขึ้นแล้วหรือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด” การดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการจึงเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนในการใช้สิทธิฟ้องร้อง เมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตามสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเอกสารที่เกี่ยวกับสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือระเบียบข้อบังคับของสมาคมประกันวินาศภัยมาให้ตรวจสอบซึ่งจำเลยก็ได้ส่งเอกสารดังกล่าวต่อศาลแล้ว ทั้งตามฎีกาโจทก์ก็มีได้อ้างว่ามีเหตุอะไรที่ทำให้สัญญาอนุญาโตตุลาการนั้นเป็นโมฆะ หรือใช้บังคับไม่ได้ หรือมีเหตุอื่นที่ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญานั้นได้แต่อย่างใด จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้มีการไต่สวนแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 7ท-0388 กรุงเทพมหานคร ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1ส-6307กรุงเทพมหานคร ว่านายธงชัย หงษ์เหิน ผู้ขับรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยทำละเมิดต่อผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย ซึ่งโจทก์ได้จัดการซ่อมให้แก่ผู้เอาประกันภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้รับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 86,843 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 80,785 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่านายธงชัยผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยรับประกันภัยไม่ได้เป็นฝ่ายประมาท ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินไป และตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเป็นคดีแพ่ง เพราะโจทก์กับจำเลยมีสัญญาต่อกันว่าหากมีกรณีพิพาทระหว่างรถที่เอาประกันภัยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะใช้สิทธิเรียกร้องต่อสำนักงานอนุญาโตตุลาการสมาคมประกันวินาศภัย เมื่อไม่สามารถตกลงหรือไม่สามารถทำการชี้ขาดกันได้คู่กรณีจึงจะมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยไม่ทำตามสัญญา จึงเป็นการขัดต่อสัญญาและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้จำหน่ายคดี
ก่อนวันสืบพยาน จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามข้อตัดฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยมีสัญญาต่อกันไว้จริงเมื่อไม่ปรากฏว่ามีเหตุที่ทำให้สัญญาอนุญาโตตุลาการนั้นเป็นโมฆะหรือใช้บังคับไม่ได้ด้วยเหตุประการอื่นหรือมีเหตุที่ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญานั้นได้ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ. 2530 มาตรา 10 จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความเพื่อให้โจทก์ไปดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อนคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ 1,620 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์จำเลยต่างเป็นสมาชิกสมาคมประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมลงนามในสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อนชอบหรือไม่ โดยโจทก์อ้างว่าการดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการหาได้เป็นเงื่อนไขบังคับก่อนในการใช้สิทธิฟ้องร้องดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่เนื่องจากตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ. 2530 มาตรา 9 ระบุว่า สัญญาอนุญาโตตุลาการหามีผลเป็นการตัดสิทธิฟ้องคดีตามข้อพิพาทนั้นต่อศาลไม่ เมื่อโจทก์เลือกปฏิบัติทางศาลฟ้องคดีให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนในอายุความ 2 ปี เป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิเคราะห์แล้วพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 9 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “สัญญาอนุญาโตตุลาการจะกำหนดให้ต้องเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการภายในกำหนดเวลาที่สั้นกว่าอายุความตามกฎหมายก็ได้ แต่การฝ่าฝืนข้อกำหนดดังกล่าวมีผลเป็นการตัดสิทธิที่จะเสนอข้อพิพาท ต่ออนุญาโตตุลาการเท่านั้น หามีผลเป็นการตัดสิทธิฟ้องคดีตามข้อพิพาทนั้นต่อศาลไม่” เห็นว่าสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการซึ่งโจทก์และจำเลยได้ร่วมลงนามด้วยนั้น มิได้กำหนดเวลาการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการไว้จึงนำบทบัญญัติดังกล่าวมาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้ คู่สัญญาจึงต้องเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการภายในกำหนดอายุความตามกฎหมายเมื่อปรากฏว่าขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการยังอยู่ในกำหนดเวลาที่โจทก์จะเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการได้ แต่โจทก์มิได้เสนอข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการตามสัญญาก่อนจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายที่ถูกฟ้องจึงชอบที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่สัญญาไปดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อนได้ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 10 เนื่องจากตามสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ข้อ 1 ระบุว่า “คู่สัญญาตกลงเสนอข้อพิพาททางแพ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หรือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด” การดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการจึงเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนในการใช้สิทธิฟ้องร้องเมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อนจึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตามสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโดยมิได้ไต่สวนหรือสอบถามให้ปรากฏเสียก่อนว่าหากจำหน่ายคดีของโจทก์ไปก่อนแล้ว จะทำให้โจทก์ยังมีสิทธิหรือเสียสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดหรือไม่ เป็นการขัดต่อมาตรา 10 นั้น เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 28 มีนาคม 2539ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเอกสารที่เกี่ยวกับสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือระเบียบข้อบังคับของสมาคมประกันวินาศภัยมาให้ตรวจสอบซึ่งจำเลยก็ได้ส่งเอกสารดังกล่าวต่อศาลแล้ว ทั้งตามฎีกาโจทก์ก็มิได้อ้างว่ามีเหตุอะไรที่ทำให้สัญญาอนุญาโตตุลาการนั้นเป็นโมฆะหรือใช้บังคับไม่ได้ด้วยเหตุประการอื่น หรือมีเหตุอื่นที่ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญานั้นได้แต่อย่างใด จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้มีการไต่สวนแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน