คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3180/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 สั่งซื้อและรับสินค้าไปจากโจทก์หลายคราวแล้วสั่งจ่ายเช็คจำนวน 25 ฉบับ ลงวันที่สั่งจ่ายระหว่างเดือนมิถุนายน 2528 ถึงเดือนสิงหาคม 2529 ให้โจทก์เพื่อชำระค่าสินค้า เมื่อโจทก์เรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 ก็ได้สั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่แทนฉบับเดิมพร้อมดอกเบี้ยตลอดมาและเมื่อเช็คที่เปลี่ยนถึงกำหนด โจทก์เรียกเก็บธนาคารตามเช็คก็ปฏิเสธการจ่ายเงินอีก การกระทำดังกล่าวเป็นกรณีจำเลยที่ 1 กระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพสิทธิเรียกร้องของโจทก์แล้วอายุความในการเรียกร้องค่าสินค้าของจำเลยที่ 1 ย่อมสะดุดหยุดลงและอายุความจะเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ลงในเช็คแต่ละฉบับอันเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องตามเช็คเป็นต้นไป เมื่อเช็คฉบับหลังสุดที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเงินจำนวน 531,134 บาท ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2529 โจทก์นำหนี้จำนวนดังกล่าวมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2530 จึงยังไม่เกิน 2 ปี หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงไม่ขาดอายุความ การที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค และศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าเป็นเช็คประกันหนี้ค่าสินค้าที่ซื้อนั้น เป็นเรื่องวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าไม่มีหนี้สินต่อกันประกอบกับการฟ้องคดีเช็คทางอาญานั้น ไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา ดังนั้นในการพิจารณาคดีแพ่งศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ระหว่างที่จำเลยที่ 1 ซื้อสินค้าคดีนี้ไปจากโจทก์ ได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการก่อนการฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 2 ปี โจทก์และจำเลยที่ 1 ติดต่อค้าขายกันระหว่างเดือนธันวาคม 2526 ถึงเดือนมีนาคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสินค้าประเภทรถจักรยานยนต์และได้รับสินค้าไปจากโจทก์แล้วหลายคราวแต่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ค่าสินค้ารวมเป็นเงินสิบสี่ล้านบาทเศษ จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โดยสั่งจ่ายเช็ค แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน และมีการเปลี่ยนเช็คฉบับใหม่แทนแต่ก็ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอีก ดังนั้น จำเลยทั้งสามต้องร่วมรับผิดพร้อมดอกเบี้ยถึงวันที่ 6 สิงหาคม 2530 รวมเป็นเงินทั้งสิ้นสิบเจ็ดล้านบาทเศษ หนี้ของจำเลยทั้งสามมีจำนวนแน่นอนถึงกำหนดชำระแล้วและมีจำนวนเกินกว่า 500,000 บาท จำเลยทั้งสามปิดสำนักงานและขนย้ายสินค้าไปจากสถานประกอบกิจการค้าขายตามปกติ ฯลฯ จึงเข้าข้อสันนิษฐานว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมศาลสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 จากสารบบความ
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ก่อนฟ้องคดีนี้เกิน 2 ปี แล้ว จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว จำเลยที่ 1 ไม่ได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ในช่วงระยะเวลาตามฟ้องทั้งเป็นหนี้ที่ขาดอายุความแล้วและจำเลยที่ 3มีความสามารถที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 และที่ 3 เด็ดขาด
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์จำนวนไม่น้อยกว่า 500,000 บาท และหนี้ดังกล่าวอาจกำหนดจำนวนได้แน่นอน จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการก่อนฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 2 ปี จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของจำเลยที่ 1 ด้วย
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ว่า หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อและรับสินค้าไปจากโจทก์หลายคราว เช็คทั้งยี่สิบห้าฉบับจำนวนเงิน 8,275,504 บาทเป็นเช็คลงวันที่สั่งจ่ายระหว่างเดือนมิถุนายน 2528 ถึงเดือนสิงหาคม2529 ระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงิน มีลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายโดยประทับตรา จำเลยที่ 1 แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คทั้งหมดชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์และเมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนดชำระเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 ก็สั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่ให้แก่โจทก์แทนเช็คฉบับเดิมเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยตลอดมา ซึ่งก็ปรากฏว่าเมื่อเช็คที่เปลี่ยนถึงกำหนดชำระเงินธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินอีก การกระทำดังกล่าวเป็นการที่จำเลยที่ 1 กระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพสิทธิเรียกร้องของโจทก์แล้ว อายุความในการเรียกร้องค่าสินค้าของจำเลยที่ 1 ย่อมสะดุดหยุดลง และอายุความจะเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ลงในเช็คแต่ละฉบับอันเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องตามเช็คเป็นต้นไป เมื่อเช็คฉบับหลังสุดที่จำเลยที่ 1สั่งจ่ายเงิน จำนวน 531,134 บาท ชำระหนี้ค่าสินค้าตามฟ้องบางส่วนให้แก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.19 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2529ย่อมถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับสภาพสิทธิเรียกร้องหนี้ทั้งจำนวนตามฟ้องของโจทก์และอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันดังกล่าวโจทก์นำหนี้จำนวนดังกล่าวมาฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม2530 จึงยังไม่เกินเวลา 2 ปี หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงไม่ขาดอายุความ
ส่วนที่จำเลยที่ 3 อ้างว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าเป็นเช็คประกันหนี้ค่าซื้อสินค้าที่ซื้อตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย ล.3 นั้น เป็นเรื่องวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่มีหนี้สินต่อกัน ประกอบกับการฟ้องคดีเช็คทางอาญานั้นไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาดังนั้น ในการพิจารณาคดีแพ่งศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว
พิพากษายืน

Share