แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มูลนิธิโจทก์ซึ่งได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากผู้ให้เช่าเดิมย่อมรับมาทั้งสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับการเช่า เมื่อมูลนิธิโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทได้ จำเลยจะโต้เถียงสิทธิของมูลนิธิโจทก์ว่าเป็นเรื่องนอกเหนือวัตถุประสงค์ของมูลนิธิหาได้ไม่
การที่ประธานกรรมการมูลนิธิโจทก์ลงนามในหนังสือบอกกล่าวเลิกการเช่าเพียงผู้เดียว โดยไม่มีกรรมการอื่นอีก 2 คนลงนามด้วย ให้ครบถ้วนถูกต้องนั้นแม้จะถือไม่ได้ว่าทำในฐานะผู้แทนมูลนิธิโจทก์ แต่ก็เห็นได้ว่าทำในฐานะตัวแทนของมูลนิธิโจทก์ ทั้งมูลนิธิโจทก์ก็ได้รับเอาผลแห่งนิติกรรมนั้นและฟ้องขับไล่จำเลยแล้ว จำเลยจะอ้างเหตุดังกล่าวปฏิเสธการบอกเลิกสัญญาเช่าไม่ได้
จำเลยมิได้ยกข้อที่ว่า การบอกกล่าวเลิกการเช่าของทนายโจทก์มิได้มีการมอบอำนาจโดยชอบ เพราะไม่มีกรรมการอื่นอีก 2 คนร่วมมอบอำนาจกับประธานกรรมการมูลนิธิโจทก์ขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นจะยกขึ้นฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมูลนิธิ และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๙๕๔โดยได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาจากคณะกรรมการจัดการมรดกของนายสอน อับดุลลาหรืออับดุลลากาซิม จำเลย ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์ไว้กับคณะกรรมการจัดการมรดกนายสอน มีกำหนด ๑ ปี นับแต่วันทำสัญญาเช่า โดยมีข้อตกลงว่าเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วไม่มีการทำสัญญาเช่าใหม่ ให้ถือว่าเป็นอันได้ทำสัญญาเช่าต่อไปไม่มีกำหนดเวลา และผู้ให้เช่าเลิกสัญญาเช่าได้เมื่อต้องการที่เช่าคืน เมื่อที่ดินแปลงนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้ว ประธานกรรมการมูลนิธิโจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๑๐ แจ้งเลิกการเช่า ต่อมาโจทก์มอบให้ทนายแจ้งเลิกการเช่าไปอีก จำเลยทราบแล้วเพิกเฉย ขอให้บังคับให้จำเลยรื้อถอนอาคารของจำเลยและออกไปจากที่ดินของโจทก์ และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่เป็นมูลนิธิตามกฎหมายแม้จะเป็นมูลนิธิ แต่ก็มิได้รับมรดกดังกล่าว และกระทำนอกเหนือผิดวัตถุประสงค์เดิมจำเลยเช่าที่ดินพิพาทจากนายสอน นางสนิ อับดุลลา ผู้เป็นเจ้าของมีกำหนด๓ ปี เมื่อครบสัญญาเช่าแล้วทำสัญญาเช่ากันใหม่อีก ๒ ครั้ง ครบกำหนดเช่าครั้งสุดท้าย จำเลยคงครอบครองที่ดินอยู่ นายสอนถึงแก่กรรม ผู้จัดการมรดกนายสอนก็รับโอนการเช่าต่อมาโดยมิได้ทำสัญญาเช่ากันใหม่ หากโจทก์เป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทมาจากผู้จัดการมรดกนายสอน ก็หาทำให้การเช่าที่ดินระงับไปไม่ จะบอกเลิกสัญญาเช่าและขับไล่จำเลยไม่ได้ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย หนังสือบอกเลิกสัญญาเช่า ฉบับลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๑๐นั้น ผู้ลงนามในหนังสือไม่มีอำนาจทำแทนโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารรื้อถอนขนย้ายอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากนายสอนเจ้าของเดิม สัญญาเช่าสิ้นกำหนดเวลาซึ่งได้ตกลงกันไว้ และข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่าที่พิพาทเป็นของมูลนิธิโจทก์ โจทก์ย่อมรับมาทั้งสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับการเช่า โจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ จำเลยไม่มีทางจะโต้เถียงสิทธิของโจทก์ว่าเป็นเรื่องนอกเหนือวัตถุประสงค์ของมูลนิธิโจทก์ ซึ่งโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเช่นนั้นหาได้ไม่
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือบอกกล่าวเลิกการเช่า ผู้ลงนามในหนังสือไม่มีอำนาจทำการแทนโจทก์ ผู้มีอำนาจลงนามผูกพันโจทก์ คือประธานกรรมการกับกรรมการอื่นอีก ๒ คนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นายเครือวัลย์ สัญชัยวรนันท์ประธานกรรมการมูลนิธิโจทก์ลงนามในหนังสือบอกกล่าวเลิกการเช่าเพียงผู้เดียวนั้น แม้จะถือไม่ได้ว่าได้ทำในฐานะผู้แทนมูลนิธิโจทก์ แต่ก็เห็นได้ว่าได้ทำในฐานะตัวแทนของมูลนิธิโจทก์แล้ว ทั้งมูลนิธิโจทก์ก็รับเอาผลของนิติกรรมนั้นและฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยจึงอ้างเหตุดังกล่าวขึ้นปฏิเสธการบอกเลิกสัญญาเช่าไม่ได้ ข้อที่จำเลยฎีกาว่า การบอกกล่าวเลิกการเช่าของทนายโจทก์มิได้มีการมอบอำนาจโดยชอบ เพราะไม่มีกรรมการอื่นอีก ๒ คน ร่วมมอบอำนาจกับประธานกรรมการมูลนิธิโจทก์ ประเด็นข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น จะเพิ่งมายกขึ้นในชั้นฎีกานี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน