แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ ของลูกหนี้ที่จะขอให้เพิกถอนได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา115จะต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้มุ่งหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้อยู่ก่อนแล้ว ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น เมื่อปรากฏว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ซื้อหรือผู้รับโอนไม่ได้เป็นเจ้าหนี้อยู่ก่อนผู้ร้องก็ไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนการโอนตามมาตราดังกล่าว
จำเลยโอนขายที่ดินพิพาทเอาเงินมาชำระหนี้ตามเช็คให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 เพื่อให้ถอนคำร้องทุกข์ ไม่ดำเนินคดีกับจำเลยในข้อหาออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คมิใช่เป็นการกระทำที่จำเลยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านที่ 2 ได้เปรียบ เจ้าหนี้อื่น ผู้ร้องไม่มีอำนาจขอให้ศาลสั่งเพิกถอนตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 115
จำเลยชำระหนี้ให้ผู้คัดค้านที่ 3 เพื่อเอาโฉนดที่ถูกยึดไว้เป็นประกันหนี้คืนมาโอนขายให้ผู้คัดค้านที่ 2เป็นการชำระหนี้โดยลูกหนี้มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านที่ 3ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 115 เพราะจำเลยมีทางขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกให้ผู้คัดค้านที่ 3 ส่งโฉนดได้อยู่แล้วตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 74 ผู้ร้องมีอำนาจขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการที่จำเลย ชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองได้โอนขายที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๑ ในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้จำเลยล้มละลาย เป็นการมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านที่ ๑ ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๕ และจำเลยยังได้นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินดังกล่าวไปแบ่งชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ และที่ ๓ โดยกระทำในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้จำเลยล้มละลาย และมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น จึงขอให้เพิกถอนการโอนและการชำระหนี้ดังกล่าว
ผู้คัดค้านที่ ๑ และที่ ๒ คัดค้านว่าไม่ทราบว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว ได้ทำการซื้อขายกันโดยสุจริต และไม่ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นจำเลยขายที่ดินให้ผู้คัดค้านเพราะต้องการเอาเงินไปชำระหนี้ตามเช็ค ซึ่งถูกผู้คัดค้านที่ ๒ กับพวกดำเนินคดีอาญา ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ ๓ คัดค้านโดยอ้างเหตุทำนองเดียวกับผู้คัดค้านที่ ๑ ที่ ๒ และว่าผู้คัดค้านที่ ๓ เป็นผู้ยึดถือโฉนดที่ดินที่ซื้อขายกันดังกล่าวไว้เป็นประกันหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้อยู่ จำเลยชำระหนี้ให้ผู้คัดค้านเพราะผู้คัดค้านไม่ยอมมอบโฉนดให้ไปทำการขาย การที่จำเลยชำระหนี้ให้ผู้คัดค้าน จึงไม่ใช่มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านที่ ๓ ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ ของลูกหนี้ที่จะขอให้เพิกถอนได้ตามมาตรานี้จะต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้มุ่งหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้อยู่ก่อนแล้ว ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นข้อเท็จจริงในคดีเรื่องนี้ได้ความว่าจำเลยทั้งสองกับนายชื้นมนัสวี ได้ร่วมกันโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๑ แล้วเอาเงินที่ขายได้ไปชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ เท่านั้น ผู้คัดค้านที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ซื้อหรือผู้รับโอนมิได้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยทั้งสองอยู่ก่อนแต่อย่างใด ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจมาขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนขายที่ดินพิพาทตามมาตรา ๑๑๕ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายไม่จำต้องวินิจฉัยว่าการโอนขายดังกล่าว จำเลยทั้งสองมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านที่ ๑ ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นหรือไม่ ส่วนการที่จำเลยทั้งสองเอาเงินที่ได้จากการขายที่ดินพิพาทชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ตามสำนวนหลัง ที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ บีบบังคับเอาชำระหนี้จากจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ชอบที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ การกระทำของจำเลยทั้งสองและผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ เป็นการกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ ๓ ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นนั้น เห็นว่าเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านที่ ๒ ตามข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการที่จำเลยทั้งสองจัดการจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทเอาเงินมาชำระหนี้ตามเช็คให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ เพื่อให้ผู้คัดค้านที่ ๒ ถอนคำร้องทุกข์ไม่ดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๑ ในข้อหากระทำความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค หากไม่จัดการโอนขายเอาเงินชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ก็จะถูกดำเนินคดีและถูกลงโทษในคดีอาญา เพราะนอกจากที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยทั้งสองก็ไม่มีทรัพย์สินใดอีกที่พอจะนำมาชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ ได้ ดังจะเห็นได้จากตามฎีกาของผู้ร้องเองว่าทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองที่ยังมีเหลืออยู่ รวบรวมได้เพียง ๑๔,๐๐๐ บาทเศษ เท่านั้น นับได้ว่าการที่จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ เป็นความจำเป็น หาใช่เป็นการกระทำที่จำเลยทั้งสองมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านที่ ๒ ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นแต่อย่างใดไม่ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจมาขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการที่จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ ตามมาตรา ๑๑๕ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายเช่นเดียวกัน ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับนางสุวรรณ แจ้งมงคล ผู้คัดค้านที่ ๓ แม้ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองต้องยินยอมชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๓ ก็เพื่อจะเอาโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๒๑๔ ซึ่งผู้คัดค้านที่ ๓ ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้คืนมาจัดการโอนขายเอาเงินชำระหนี้ตามเช็คให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๒ เพื่อให้ผู้คัดค้านที่ ๒ ถอนคำร้องทุกข์ไม่ดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๑ ในข้อหากระทำความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คก็ตาม แต่ผู้คัดค้านที่ ๓ ก็อ้างเพียงว่าตนได้ยึดถือโฉนดที่ดินไว้ถ้าไม่ชำระหนี้ก็จะไม่ยอมคืนโฉนดให้ การคืนโฉนดที่ดินให้หรือไม่นั้นลูกหนี้มีทางขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกบุคคลผู้เกี่ยวข้องให้ส่งเอกสาร คือ โฉนดที่ดินพิพาทได้อยู่แล้วตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๗๔ ซึ่งบัญญัติว่า “ในการดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๗๑ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสอบสวนคู่กรณีและเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้ตามความจำเป็น แล้วให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการไปตามควรแก่กรณี ฯลฯ” ฉะนั้นการที่ผู้คัดค้านที่ ๓ ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ดังกล่าว จึงเป็นการได้รับชำระหนี้โดยลูกหนี้มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านที่ ๓ ผู้เป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ตามมาตรา ๑๑๕ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ผู้ร้องจึงมีอำนาจขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการที่จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ ๓ เสียได้ ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นางสุวรรณ แจ้งมงคล ผู้คัดค้านที่ ๓ ชดใช้เงินจำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์