คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3179/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว เมื่อโจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษานั้นมาฟ้องเป็นคดีล้มละลาย จึงต้องฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้องจริง จำเลยจะอ้างเหตุผลอันเป็นข้อต่อสู้เดิมในคดีก่อนขึ้นมาคัดค้านเพื่อขอให้ศาลรื้อฟื้นปัญหาเรื่องความรับผิดของจำเลยดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยอีกไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นเงิน1,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยไม่มีทรัพย์สินที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้ล้มละลาย
จำเลยให้การว่า ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ ไม่มีผู้ใดมายึดทรัพย์จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาในชั้นนี้ตามที่จำเลยฎีกาข้อเดียวว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาค้ำประกันอันเป็นมูลที่โจทก์อ้างมาฟ้องจำเลยเพื่อขอให้ตกเป็นบุคคลล้มละลายจริงหรือไม่สำหรับปัญหานี้ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ความรับผิดของจำเลยตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว โจทก์ได้ฟ้องบังคับเป็นคดีแพ่งมาก่อนและศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ โดยที่จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบด้วยประการใดคำพิพากษาดังกล่าวจึงเป็นที่สุด หลังจากนั้นเมื่อโจทก์ไม่อาจบังคับชำระหนี้ได้จึงได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดนี้มาฟ้องเป็นคดีล้มละลาย ดังนั้นการที่จำเลยจะอ้างเหตุผลอันเป็นข้อต่อสู้เดิมในคดีก่อนซึ่งยุติเด็ดขาดไปแล้ว ขึ้นมาคัดค้านเพื่อขอให้ศาลรื้อฟื้นปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยในประเด็นเดียวกันนี้อีกจึงไม่อาจกระทำได้ เพราะเป็นกรณีที่จำเลยต้องถูกปิดปากโดยคำพิพากษาอันมีผลต้องห้ามให้ไม่อาจโต้แย้งเป็นอย่างอื่นได้ จึงต้องฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้องจริง
พิพากษายืน.

Share