แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายได้พบจำเลยในขณะที่จำเลยซึ่งมีอาการเมาสุรานั่งคร่อมอยู่บนรถจักรยานยนต์โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำความผิดและผู้เสียหายมิได้เข้าทำการจับกุมจำเลยอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยแต่อย่างใด อีกทั้งการที่ ส. แจ้งต่อผู้เสียหายก็ระบุแต่เพียงว่าอาจมีเรื่องกันบริเวณปากซอยให้ไปช่วยคนหน่อย จึงฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นโดยจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุหรือกระทำความผิดแต่อย่างใด การที่ผู้เสียหายปฏิบัติภารกิจอื่นแล้วเข้าไปยังที่เกิดเหตุโดยยังมิได้มีเหตุการณ์วิวาทเกิดขึ้นแต่ผู้เสียหายกลับไปมีเรื่องกับจำเลยเป็นส่วนตัว โดยถูกจำเลยพูดว่ากล่าวและผลักอก จึงไม่ใช่เรื่องที่ผู้เสียหายกำลังปฏิบัติการตามหน้าที่ในการเข้าระงับเหตุทะเลาะวิวาทหรือจับกุมผู้กระทำความผิด การกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 แต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกล่าววาจาหยาบคายดูหมิ่นพลตำรวจชลชัย มาสถิตย์ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่เข้าระงับเหตุทะเลาะวิวาทว่า “มึงเป็นตำรวจใหญ่นักหรือไง มึงใหญ่ก็มาจับกู ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์” และใช้กำลังดิ้นรนและผลักอกผู้เสียหายขณะปฏิบัติหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนจำเลยอันเป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 138, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคสอง จำคุก 1 เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนในเวลาเดียวกันข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่หรือไม่ โจทก์มีพลตำรวจชลชัย มาสถิตย์ ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายรับราชการอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอคลองหลวง ตำแหน่งลูกแถว มีหน้าที่สืบสวนและจับกุมคนร้าย เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2537เวลาตีสองเศษ ขณะที่ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ส่วนตัวไปเพียงคนเดียวโดยไม่ได้แต่งเครื่องแบบ เมื่อถึงบริเวณกลางซอยหงษ์สกุล หมู่ที่ 3 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พบนางสาวสากลหรือพึงโบกมือให้จอดรถแจ้งว่า มีวัยรุ่นจะก่อเหตุทะเลาะกันขอให้ไประงับเหตุ ผู้เสียหายได้ขับรถจักรยานยนต์ไปที่จุดที่ได้รับแจ้งพบจำเลยกับพวกประมาณ 7-8 คน นั่งอยู่บริเวณที่จอดรถจักรยานยนต์รับจ้าง พบจำเลยนั่งคร่อมอยู่บนรถจักรยานยนต์คันหนึ่งมีอาการเมาสุรา ผู้เสียหายได้แสดงตัวในกลุ่มนั้นว่าเป็นตำรวจอยู่คลองหลวงมีอะไรจะให้ช่วยไหมจำเลยพูดว่า “มึงเป็นตำรวจใหญ่นักหรือมึงใหญ่มาจับกู ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์” ผู้เสียหายขอให้จำเลยพูดให้เพราะหน่อย จำเลยลงจากรถจักรยานยนต์ตรงเข้าผลักอกผู้เสียหาย ผู้เสียหายเสียหลักเซถอยหลัง จำเลยจะเข้ามาซ้ำ ผู้เสียหายได้ผลักจำเลยออกไป พวกของจำเลยกรูเข้ามาหา ผู้เสียหายถอยหลังและได้ชักปืนออกมาพร้อมกับบอกว่าให้ถอยออกไปอย่าเข้ามาจะได้รับอันตราย คนเหล่านั้นจึงแตกกลุ่มหนีไป จำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่เกิดเหตุ เห็นว่า ผู้เสียหายได้พบจำเลยในขณะที่จำเลยนั่งคร่อมอยู่บนรถจักรยานยนต์มีอาการเมาสุรา โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำความผิดและผู้เสียหายมิได้เข้าทำการจับกุมจำเลยอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยแต่อย่างใด อีกทั้งการที่นางสาวสากลหรือพึงแจ้งต่อผู้เสียหายก็ระบุแต่เพียงว่าอาจจะมีเรื่องกันบริเวณปากซอยให้ไปช่วยคนหน่อย จึงฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นโดยจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุหรือกระทำความผิดแต่อย่างใด การที่ผู้เสียหายปฏิบัติภารกิจอื่นแล้วเข้าไปยังที่เกิดเหตุโดยที่ยังมิได้มีเหตุการณ์วิวาทเกิดขึ้น แต่ผู้เสียหายกลับไปมีเรื่องกับจำเลยเป็นส่วนตัว โดยถูกจำเลยพูดว่ากล่าวและผลักอก จึงมิใช่เรื่องที่ผู้เสียหายกำลังปฏิบัติการตามหน้าที่ในการเข้าระงับเหตุทะเลาะวิวาทหรือจับกุมผู้กระทำความผิด การกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน