คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3177/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ระหว่างที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานขนกระเป๋าในโรงแรมของจำเลยมัคคุเทศก์ได้นำรถตู้มารับแขกกลุ่มหนึ่ง โจทก์ได้พูดกับมัคคุเทศก์ว่า “แขกเลว ๆ อย่างนี้อย่าพามาที่นี่เลย” สาเหตุเพราะแขกและเด็ก ๆ กลุ่มดังกล่าวเป็นชาวตะวันออกกลางและเด็ก ๆ ซุกซนมาก ขณะรอรถได้ใช้ก้อนหินขว้างปานกเป็ดน้ำและปลาในบ่อ โจทก์ได้ว่ากล่าวตักเตือนแล้วไม่เชื่อฟัง เมื่อธุรกิจโรงแรมต้องให้บริการแก่แขกอย่างดีที่สุดพนักงานของโรงแรมต้องพูดจาสุภาพและแสดงกิริยามารยาทด้วยความอ่อนน้อม จึงถือได้ว่าโจทก์ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ 8 วรรคท้ายแล้ว แต่การใช้คำพูดดังกล่าวแม้จะไม่เหมาะสมแต่โจทก์กล่าวไปด้วยอารมณ์โดยไม่ได้มีเจตนาจะทำให้จำเลยเสียหายหรือเล็งเห็นถึงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่จำเลย จึงมิใช่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีร้ายแรงและไม่ใช่เป็นการจงใจทำให้จำเลยเสียหาย เมื่อการกระทำของโจทก์มิใช่การฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในกรณีร้ายแรงตามมาตรา 119(4) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์
โจทก์เป็นพนักงานยกกระเป๋าของโรงแรมระดับห้าดาวซึ่งมีหน้าที่หลักตามข้อบังคับการทำงานข้อ 19 ว่าต้องทำดีที่สุดในการรักษาชื่อเสียงของโรงแรมจำเลยการที่โจทก์ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมกับมัคคุเทศก์ที่มารับแขกอันเป็นลูกค้าของโรงแรมถือเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเท่ากับโจทก์ขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควรมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์ 5 วัน เพื่อสอบสวนความผิด เมื่อจำเลยไม่มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุให้จำเลยจ่ายเงินแก่ลูกจ้างระหว่างพักงาน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินในระหว่างพักงาน 5 วัน ไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 116

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนสิงหาคม 2513 จำเลยได้จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งพนักงานยกกระเป๋า ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ9,200 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน วันที่ 2 กันยายน 2543 จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำผิดวินัยตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย และโจทก์มิได้กระทำหรือมีพฤติกรรมใดอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(1) ถึง (5) นอกจากนั้นจำเลยยังมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและข้อตกลงสภาพการจ้าง กำหนดขั้นตอนการลงโทษทางวินัยไว้ซึ่งจำเลยมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนตามระเบียบข้อบังคับดังกล่าวอีกทั้งจำเลยมิได้แจ้งสาเหตุในการเลิกจ้างแก่โจทก์ด้วย ดังนั้น การเลิกจ้างดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ โจทก์ทำงานมาเกินกว่า 10 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน เป็นเงิน 92,000 บาท และจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์จำนวน 9,200 บาท จำเลยได้มีคำสั่งพักงานโจทก์ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม ถึงวันที่ 2กันยายน 2543 รวม 5 วัน โดยที่โจทก์ไม่มีความผิด จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานแก่โจทก์จำนวน 1,533 บาท การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่มีงานทำ ขาดรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ปัจจุบันโจทก์มีอายุ48 ปี โอกาสที่จะเริ่มต้นหางานใหม่ทำคงเป็นไปได้ยาก โจทก์ทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลา 30 ปี ระหว่างการทำงาน โจทก์ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่เคยทำความเสียหายให้แก่จำเลย ทั้งไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยแต่อย่างใด ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 92,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 9,200 บาท และค่าจ้างระหว่างพักงาน 1,533 บาท กับให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในสภาพการจ้างที่ไม่ต่ำกว่าเดิมโดยนับอายุงานต่อเนื่อง พร้อมทั้งให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเป็นรายเดือน ๆละ 9,200 บาท นับแต่วันที่เลิกจ้างจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิมหรือให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเท่ากับอายุงานคูณด้วยอัตราค่าจ้างสุดท้ายเป็นเงินจำนวน270,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวทั้งหมดนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ เพราะโจทก์ได้ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานซึ่งเป็นกรณีร้ายแรงและจงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหาย กล่าวคือเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2543 เวลาประมาณ 15 นาฬิกาขณะที่โจทก์กำลังปฏิบัติหน้าที่ยกกระเป๋าของแขกที่เข้าพักในโรงแรมขึ้นรถตู้ที่มารับโจทก์ได้พูดกับมัคคุเทศก์ของบริษัทดีทแฮล์ม แทร็ฟเวล จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนพากลุ่มลูกค้าดังกล่าวมาเข้าพักในโรงแรมว่า “แขกเหี้ย ๆ อย่างนี้อย่าพามาพักที่นี่อีก” การกระทำของโจทก์ดังกล่าวไม่ใช่เพียงแต่การแสดงมารยาทที่เลวต่อแขกในการรับรองแขกของโรงแรมเท่านั้น แต่เป็นการจงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายและเป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรง จำเลยจึงมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยซึ่งประกาศใช้ ณวันที่ 17 กันยายน 2518 ข้อ 8 วรรคสุดท้าย ข้อ 10.5 และ 10.6 และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(2) และ (4) โดยจำเลยไม่จำต้องตักเตือนก่อน และเมื่อเป็นความผิดร้ายแรง จำเลยก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการลงโทษตามที่กำหนดไว้ในข้อตกลงสภาพการจ้างปี 2542 และ 2543 ข้อ 25.4 จำเลยได้แจ้งสาเหตุที่มีการเลิกจ้างแก่โจทก์ไว้ในหนังสือเลิกจ้างอย่างชัดเจนและจำเลยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ด้วย การสั่งพักงานและสั่งเลิกจ้างโจทก์ จำเลยได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อตกลงสภาพการจ้างของจำเลยและได้ปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว จึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 92,000 บาท ค่าจ้างระหว่างพักงาน 1,533 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 55,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกว่า โจทก์ได้ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงและจงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายหรือไม่ และจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์หรือไม่ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า วันที่ 29 สิงหาคม2543 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา ระหว่างที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานขนกระเป๋าในโรงแรมของจำเลยมัคคุเทศก์ของบริษัทดีทแฮล์ม แทร็ฟเวล จำกัด ได้นำรถตู้มารับแขกกลุ่มหนึ่ง โจทก์ได้พูดกับมัคคุเทศก์ดังกล่าวว่า “แขกเลว ๆ อย่างนี้อย่าพามาที่นี่เลย”สาเหตุที่โจทก์ใช้คำพูดลักษณะนี้ก็เพราะแขกและเด็ก ๆ กลุ่มดังกล่าวเป็นชาวตะวันออกกลาง และเด็ก ๆ ซุกซนมาก ขณะรอรถได้ใช้ก้อนหินขว้างปานกเป็ดน้ำและปลาในบ่อโจทก์ได้ว่ากล่าวตักเตือนแล้วไม่เชื่อฟัง ซึ่งโจทก์เคยได้รับคำแนะนำจากหัวหน้างานโดยตรงว่า ถ้ามีแขกหรือบุตรของแขกกระทำในลักษณะเช่นนี้ให้ไปแจ้งต่อมัคคุเทศก์ได้โดยตรงตามบันทึกคำให้การของโจทก์เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 8 ธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ต้องให้การบริการแก่แขกอย่างที่สุด พนักงานของโรงแรมต้องพูดจาสุภาพและแสดงกิริยามารยาทด้วยความอ่อนน้อมต่อแขกหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง เห็นว่าการกระทำของโจทก์ที่ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมกับมัคคุเทศก์ที่มารับแขก ถือได้ว่าโจทก์ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ 8 วรรคท้าย แล้ว แต่การที่โจทก์ใช้คำพูดดังกล่าวก็สืบเนื่องมาจากบุตรแขกชาวตะวันออกกลางใช้ก้อนหินขว้างปานกเป็ดน้ำและปลาในบ่อของโรงแรม โจทก์ได้ว่ากล่าวตักเตือนแล้วก็ไม่เชื่อฟัง แม้ถ้อยคำที่โจทก์ใช้จะเป็นถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมแต่โจทก์ได้กล่าวไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจในพฤติกรรมที่ไม่สมควรของบุตรแขกชาวตะวันออกกลางโดยไม่ได้เจตนาจะทำให้จำเลยเสียหายหรือทำไปโดยเล็งเห็นถึงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่จำเลย และข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับความเสียหายตามที่จำเลยคาดการณ์ กรณีจึงมิใช่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีร้ายแรงและไม่ใช่เป็นการจงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเสียหายเมื่อการกระทำของโจทก์มิใช่การฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในกรณีร้ายแรง ตามมาตรา 119(4) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อสองว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นพนักงานยกกระเป๋าของโรงแรมระดับห้าดาวซึ่งมีหน้าที่หลักตามข้อบังคับการทำงานข้อ 19 ว่าต้องทำดีที่สุดในการรักษาชื่อเสียงของโรงแรมจำเลย การที่โจทก์ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมกับมัคคุเทศก์ที่มารับแขกอันเป็นลูกค้าของโรงแรมนั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเท่ากับโจทก์ขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร มิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อสุดท้ายว่า จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างในระหว่างพักงานให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 มาตรา 116 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างทำการสอบสวนลูกจ้างซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ห้ามมิให้นายจ้างสั่งพักงานลูกจ้างในระหว่างการสอบสวนดังกล่าว เว้นแต่จะมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้อำนาจนายจ้างสั่งพักงานลูกจ้างได้…” และวรรคสองบัญญัติว่า”ในระหว่างการพักงานตามวรรคหนึ่งให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างตามอัตราที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือตามที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกันไว้ในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ทั้งนี้อัตราดังกล่าวต้องไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนถูกสั่งพักงาน” ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้มีคำสั่งพักงานโจทก์ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม ถึงวันที่ 2 กันยายน 2543 รวม 5 วัน เพื่อสอบสวนความผิดปรากฏตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 7 เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุให้จำเลยจ่ายเงินแก่ลูกจ้างระหว่างพักงาน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินในระหว่างพักงาน 5 วัน ดังกล่าวไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของค่าจ้างตามบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 9,200 บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างพักงานเป็นเงิน 766.66 บาท ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์ได้รับเงินในส่วนนี้เป็นเงิน 1,533 บาท จึงไม่ถูกต้อง อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างในระหว่างพักงานจำนวน 766.66 บาทแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share